แม้ตลาด Plant based ในประเทศไทยจะเป็น Niche market แต่การเติบโตและการขยับตัวของตลาดถือว่ามาแรงน่าจับตา ดังนั้น หากจะเห็นแบรนด์ต่าง ๆ ติดเครื่อง เร่งสตาร์ท ในตลาดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก รวมถึง บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF ผู้ผลิตและส่งออกอาหารและเครื่องปรุงรส ที่ประกาศลุยเต็มกำลังเพื่อชิงโอกาสจากตลาด Plant based ทั้งไทยและต่างประเทศ พร้อมกับเป้าหมายใหญ่ในการเป็นบริษัทเทคโนโลยีอาหารพลังงานสะอาดสากล
“ก่อน IPO เมื่อปี 2020 เราบอกว่าตัวเองเป็น Future Food แต่ตอนนี้เราเปลี่ยนแนวคิดสู่ Global clean food tech บริษัทเทคโนโลยีอาหารพลังงานสะอาดสากล สิ่งที่ทำคือเราไม่ได้เปลี่ยน Mission แต่เป็นการเติมภาพให้ครบด้วยความเชื่อว่านี่จะเป็นครั้งแรกของโลกที่บริษัทอาหารเลือกทำเช่นนี้”
คุณแดน ปฐมวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NRF กล่าว และเปิดเผยว่าในปีที่ผ่านมา NRF ทำรายได้ 2,100 ล้านบาท เติบโต 49% และมีกำไรสุทธิ 221 ล้านบาท เติบโต 42% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ทั้งยังสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน มากกว่า 9,000 ตัน พร้อมกับมีการลงทุนทางอ้อมผ่าน 2 กองทุนในธุรกิจทางเลือก และขายกิจการไป 2 บริษัท หลังจากทำกำไรได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และขายได้มูลค่าสูงกว่าที่ลงทุนถึง 4 เท่า
ย้อนบทสรุป 2021 ปีแห่งการวางรากฐาน เติมโอกาสธุรกิจ
ในปี 2021 ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่ NRF ดำเนินการธุรกิจ Plant based อย่างต่อเนื่อง โดยมีทั้งการจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมที่อังกฤษ และก่อตั้งบริษัท Konscious พร้อมกับจัดตั้งบริษัท NRPT บริษัทร่วมทุนกับกลุ่มบริษัทในเครือ PTT และเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์กับกองทุนระดับโลกที่ลงทุนด้าน Plant based ทั้งยังเข้าเป็นหนึ่งในผู้ลงทุนของแบรนด์ Plant based ชั้นนำในอังกฤษ และล่าสุดยังได้เปิดตัวแบรนด์ Nove Eats แฮมเบอร์เกอร์ Plant based ที่เน้นทำตลาดผ่านออนไลน์ ซึ่งเตรียมขยายตลาดไปยังอเมริกาอีกด้วย
ทั้งยังมีการนำร่องปลูกไร่กัญชง จำนวน 2 แห่ง ในจังหวัดขอนแก่น และยังขายหุ้นบริษัทในเครืออย่าง GTH จำนวน 25% ให้กับ AUDACIOUS ผู้เชี่ยวชาญด้านกัญชงรายใหญ่ในอเมริกา เพื่อนำความรู้เข้ามาส่งเสริมธุรกิจของ GTH และใช้เครือข่ายในการขยายช่องทางจำหน่ายสินค้า
ส่วนธุรกิจกลุ่มอีคอมเมิร์ซ ก็ได้เข้าซื้อหลายบริษัทเพื่อสนับสนุนด้านผลิตภัณฑ์และร่วมลงทุนในบริษัท INDEEM บริษัทขายตรงผ่านออนไลน์ในประเทศไทย เพื่อต่อยอดช่องทางจำหน่ายสินค้าของบริษัท ส่วนทิศทางในปี 2022 จะใช้กลยุทธ์ทั้งการทำ M&A ซื้อกิจการแบรนด์ขนาดเล็กอีก 5-7 แบรนด์ และนำแบรนด์ที่มีอยู่แล้วเข้าสู่ช่องทางอีคอมเมิร์ซและออฟไลน์ พร้อมกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่และเปิดตัว SKU ใหม่ ๆ สู่ตลาด
นอกจากนี้ ยังมีโรงงานในประเทศไทยทั้งหมด 3 แห่ง และอยู่ระหว่างดำเนินงานอีก 1 แห่ง ทั้งยังมีโรงงานในอังกฤษและอเมริกา ประเทศละ 1 แห่ง และมีศูนย์นวัตกรรมในอเมริกา เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจ
สร้างคาร์บอนเป็นลบ รับเป้าหมาย Global clean food tech company
“เราแสดงเจตจำนงค์ในการทำธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาตั้งแต่ปี 2018 โดยพยายามหาเทคโนโลยีและสร้างธุรกิจเพื่อต่อสู้กับปัญหาลดโลกร้อน โดย Big Move ของ NRF ในปี 2022 คือการเป็นส่วนหนึ่งในการลดปัญหาโลกร้อน และสนับสนุนเป้าหมายของรัฐบาลที่ประกาศว่าประเทศไทยจะเข้าสู่การปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็น Net Zero ภายในปี 2050 ซึ่งตอนนี้เรามีทีมงานประจำอยู่ที่ภาคเหนือเพื่อดำเนินการอย่างจริงจังในประเด็นนี้โดยที่เรายังเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านอาหารอยู่เช่นเดิม เพราะเรื่องนี้ก็ยังคงเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญของอุตสาหกรรมอาหารเช่นกัน”
คุณแดน อธิบายประเด็นการสร้างคาร์บอนเป็นลบว่า วิธีการเดียวในการต่อสู้กับปัญหาโลกร้อน คือ แนวคิดคาร์บอนเป็นลบ โดยการทำให้วงจรการเกิดและปล่อยคาร์บอนไม่กลับขึ้นสู่โอโซนโดยใช้วิธีการฝังลงดิน ซึ่งเชื่อว่าในปี 2050 อุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนเชิงลบในแนวคิดดังกล่าวจะมีจำนวนมากกว่าอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนเชิงบวกได้อย่างแน่นอน
ดังนั้น NRF จึงประกาศปฏิรูปบริษัทสู่ Global clean food tech company ในปี 2022 เพื่อเป็นบริษัทเทคโนโลยีอาหารพลังงานสะอาดสากล โดยมีคอนเซปต์ คือ เป็นห่วงโซ่อุปทานที่ช่วยเรื่องสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อลดคาร์บอนมากว่าปล่อยคาร์บอนและจำกัดคาร์บอนอย่างถาวร ผลิตอาหารที่คุ้มค่ากับการปล่อยก๊าซคาร์บอนในกระบวนการผลิตที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ และใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในผลิตภัณฑ์และการตลาด ขายผลิตภัณฑ์ผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ
“ประเทศไทยมีของเสียจากภาคการเกษตรที่ต้องถูกนำไปเผา เฉลี่ย 17 ล้านตันต่อปี ดังนั้นหนึ่งในวิธีสนับสนุนเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน คือ เราจะรับซื้อสิ่งเหลือทิ้งจากการเกษตร เช่น ชีวมวล ซังข้าวโพด ขยะไม้ ฯลฯ ไปเข้าสู่กระบวนการแปรรูปด้วยปฏิกรณ์ชีวภาพ เพื่อเปลี่ยนเป็นการผลิตก๊าซธรรมชาติ การผลิตไฮโดนเจน ไบโอคาร์บอน การหมักแก๊สสังเคราะห์ หรือกลายเป็นพลังงานไฟฟ้าสำหรับขุดบิทคอยน์ กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสามารถขายได้ ซึ่ง NRF จะนำแนวคิดนี้มาใช้ทั้งไทยและอเมริกา”
โดย คุณแดน อธิบายประโยชน์ของไบโอคาร์บอนนอกเหนือจากมุมธุรกิจว่า มีประโยชน์มากกว่าที่คิดโดยสามารถใช้ฟื้นฟูดินเพิ่มผลผลิตได้ เช่น ข้าว อาจเพิ่มขึ้น 7-14% ทั้งยังช่วยทำให้ดินอุ้มน้ำในหน้าแล้งและกันไม่ให้น้ำท่วม หรือใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ และใช้วัสดุก่อสร้าง เป็นต้น
ปรับโครงสร้างบริษัท แบ่งธุรกิจเป็น 3 แกนหลัก
คุณแดน กล่าวว่า ภายในปี 2023 NRF จะปฏิรูปบริษัทสู่ Global clean food tech company โดยยังคงเป้าหมายการเป็นช่องทางผลิตอาหาร Plant based ระดับสากล และเพิ่มการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ามากระตุ้นการเติบโตและกำไร พร้อมกับตั้งเป้าหมายอีก 2 ปีข้างหน้า จะจัดตั้งโรงงานกำจัดคาร์บอนในประเทศไทยและอเมริกา
อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานในปี 2022 จะยังคงเป็นไปตามเป้าหมายข้างต้น พร้อมกับเพิ่มเทคโนโลยี M&A และโครงการพัฒนาระบบนิเวศเข้ามามากขึ้น แต่ NRF จะปรับโครงสร้างบริษัท โดยแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ
ช่องทางการลดคาร์บอน : ตั้งแผนกใหม่ภายใต้ธุรกิจ Plant based แบรนด์ Nove Foods เพื่อตอกย้ำเป้าหมายของแบรนด์ในการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและต่อสู้กับปัญหาโลกร้อน โดย Nove Foods มีเป้าหมายเป็นบริษัทที่สร้างคาร์บอนเป็นลบ
ช่องทางอาหารเฉพาะกลุ่ม : แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ City Food อาหารเฉพาะกลุ่มและท้องถิ่น, Botany อาหารสัตว์เลี้ยง ,GTH ผู้ผลิตและจำหน่ายสมุนไพรไทยและกัญชง
ช่องทางระบบนิเวศ : แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ NRF Consumer ที่ดูแลธุรกิจอีคอมเมิร์ซ, INDEEM ช่องทางขายตรงออนไลน์ และ CVC กองทุนที่เน้นลงทุนเพื่อต่อยอดธุรกิจของ NRF
วางฤกษ์ Q2 เปิดร้านต้นแบบ Plant based แห่งแรกในไทย
คุณแดน อธิบายว่า สิ่งที่ NRF ดำเนินการในธุรกิจ Plant based ขณะนี้ถือว่าตอบโจทย์สถานการณ์อย่างมาก เพราะมีทั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายในระดับภูมิภาค ไม่ต้องจัดส่งข้ามภูมิภาคซึ่งสามารถลดหลายปัญหาที่หลาย ๆ แบรนด์เผชิญในช่วงวิกฤต COVID-19 เช่น ค่าขนส่ง วัตถุดิบหรือสินค้าขาดตลาด
“COVID-19 กระทบเราแค่เรื่องโรงงานในปีที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับธุรกิจของเราเลยแม้แต่รายได้ เรื่องนี้พิสูจน์แล้วว่าเราตัดสินใจถูกต้อง ที่ตั้งโรงงานผลิตและขายในระดับภูมิภาค จึงตอบโจทย์ธุรกิจให้ดำเนินต่อไปได้ตามปกติ ซึ่งสถานการณ์ Plant based ในตลาดอเมริกาจะเน้นที่รสชาติและประเด็นความยั่งยืน ส่วนในไทยจะเน้นความสะดวกเข้าถึงง่าย แต่เติบโตเร็วมากประมาณ 200-300% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งตอนนี้เรายังพึ่งกระบวนการ OEM (รับผลิตสินค้า) เกือบ 100% แต่จากสถานการณ์เชื่อว่า Plant based ไทยจะโตขึ้นอีก แม้ตอนนี้ยังเป็น Niche market แต่ราคาไม่ได้แพงมาก ที่ยังราคาสูงส่วนใหญ่เป็นแบรนด์นำเข้าที่มีเรื่องภาษีและวัตถุดิบ ส่วนประเทศที่เป็น Mass market แล้วคือ อเมริกา ยุโรป ออสเตรเลีย รวมถึงจีนที่ตลาดกำลังน่าจับตา”
นอกจากนี้ แผนการดำเนินงานของ NRPT กับไฮไลท์ของปีนี้ ได้แก่
– เปิดตัว alt. Eatery ร้านต้นแบบขายอาหารและเครื่องดื่มสินค้าบริโภคกลุ่ม Plant based โดยตั้งเป้าเปิดตัวภายในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ด้วยพื้นที่ 1 ไร่ ณ ซอยสุขุมวิท 51 เพื่อเป็นศูนย์กลางใหม่สำหรับอาหารทางเลือก โดยจะนำผลิตภัณฑ์จาก GTH ไปวางจำหน่ายด้วย
– เปิดตัวแบรนด์ alt. อาหารทานเล่นแช่แข็งแบรนด์โดยจำหน่ายผ่านซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านค้าชั้นนำ ซึ่งมีจุดเด่นเรื่องรสชาติที่มั่นใจว่าสามารถแข่งขันในตลาด Plant based ได้เป็นอย่างดี
– นำเข้าแบรนด์สินค้า Plant based จากต่างประเทศ รวมถึงร่วมมือกับแบรนด์ Plant & Bean ประเทศอังกฤษ จัดตั้งโรงงาน Plant & Bean ประเทศไทย ณ นิคมโรจนะ อยุธยา เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ Plant based แก่ผู้บริโภคในประเทศไทยได้ง่ายขึ้น ด้วยนวัตกรรมชั้นสูงและราคาที่จับต้องง่ายขึ้น ภายในไตรมาสที่ 1 ปี 2023 และมีตั้งเป้าหมายเป็นบริษัท OEM สำหรับอาหารจากพืชอีกด้วย
โดยธุรกิจ Plant based ยังมีการดำเนินงานของ Nove Foods อีกด้วย ซึ่งจะเน้น 3 ประเด็น ได้แก่
นวัตกรรม : เน้นลงทุนกับสตาร์ทอัพด้านการสร้างพลังงานสังเคราะห์และเพิ่มโอกาสสร้างรายได้ พร้อมกับเพิ่มจำนวน SKU จากเดิม 40 เป็น 60 SKU
ศักยภาพการผลิต : เน้นการผลิตทั้งในอังกฤษและไทย จะซื้อและสร้างกิจการใจอเมริกา แต่จะพิจารณาสถานการณ์ระหว่างรัสเซียและยูเครนประกอบการตัดสินใจด้วย และเริ่มทำตลาดในอังกฤษ
แบรนด์และผลิตภัณฑ์ : เปิดตัว Nove และ Nove Eats และทำตลาดที่ขับเคลื่อนโดย NFT สำหรับการทำตลาดในอเมริกา
ฝากความหวัง ไบโอคาร์บอน & Plant based รายได้หลัก
“ในปี 2022 เราตั้งเป้าโต 50-70% จากการขับเคลื่อนทุกกลุ่มธุรกิจ เชื่อว่าไบโอคาร์บอนและ Plant based จะเป็นรายได้หลัก ซึ่งในปีนี้ยังไม่ได้นำรายได้จาก Crypto เข้ามาคำนวณแม้ว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ในปีนี้”
คุณแดน ยังกล่าวอีกว่า ด้านงบประมาณจะเป็นการลงทุนอย่างต่อเนื่องระหว่างปี 2022 – 2023 รวม 2,080 ล้านบาท แบ่งเป็น 70% สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ, 13% สำหรับ Plant based, 13% สำหรับธุรกิจอาหารเฉพาะกลุ่ม และ 4% กับ Functional