“ความงาม” เป็นกลุ่มธุรกิจที่เติบโตอย่างน่าสนใจทุกปี แถมยังขยายไปยังผู้บริโภคหลากหลายกลุ่ม ไม่ได้กระจุกอยู่แค่กลุ่มผู้หญิงหรือวัยทำงานเหมือนเช่นในอดีต จากข้อมูลของ “เมิร์ซ เอสเธติกส์ (ประเทศไทย)” ได้เปิดเผยเทรนด์น่าสนใจเกี่ยวกับตลาดความงาม โดยระบุว่า…
ในปี 2018 การทำหัตถการและความงาม คาดว่ามีมูลค่าถึง 50,000 ล้านบาท
ตัวเลขดังกล่าวสอดคล้องกับสถานการณ์ตลาดความงามในเอเชียแปซิฟิก ซึ่งอยู่ในเกณฑ์เติบโตขึ้นทุกปี รวมถึง ไทย ซึ่งเติบโตเป็นอันดับที่ 3 ตามหลังเกาหลี และไต้หวัน ที่เติบโตเป็นอันดับ 1 และ 2 ในตลาดความงาม แต่หากพิจารณาแค่ในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว “ไทย” ยังเป็นตลาดความงามที่มีอัตราเติบโตสูงกว่าประเทศอื่น จากศักยภาพและจำนวนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทั้งเรื่องหัตถการและศัลยกรรม ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางความงามที่ได้รับความนิยมจากทั่วโลก
จากสถานการณ์ดังกล่าว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ธุรกิจความงามจะพากันช่วงชิงโอกาสจากเทรนด์นี้ เช่นเดียวกับที่ เภสัชกรหญิงกิตติวรรณ รัตนจันทร์ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท เมิร์ซ เฮลธ์แคร์ ประเทศไทย จำกัด เล่าถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจของ “เมิร์ซ เอสเธติกส์ (ประเทศไทย)” ว่า…
“ปี 2019 บริษัทพยายามผลักดันตลาดความงามประเทศไทยสู่เป้าหมายผู้นำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยเทคโนโลยีความงามและนวัตกรรมคุณภาพ”
สำหรับเมิร์ซ เอสเธติกส์ ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยราว 4 ปีมาแล้ว โดยเป็นบริษัทในเครือ “เมิร์ช ฟาร์มา เยอรมนี” ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านเวชภัณฑ์ยาและเทคโนโลยีความงามมากกว่า 110 ปี มีชื่อเสียงด้านนวัตกรรมความงามเวชภัณฑ์ยากลุ่มโบทูลินั่มท็อกซิน และเครื่องมือแพทย์เพื่อการดูแลรักษาผิวพรรณ รูปร่าง จากแพทย์กว่า 90 ประเทศทั่วโลก ส่วนในประเทศไทย “เมิร์ซ เอสเธติกส์” นำเข้าและจำหน่ายสินค้าเทคโนโลยีความงาม โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มเครื่องมือทรีทเมนต์และกลุ่มสารฉีดเพื่อความอ่อนเยาว์ อาทิ สารฉีดเติมเต็มฟิลเลอร์จากสวิสเซอร์แลนด์ คัลเลอร์ฟูล ฟิลเลอร์, สารโบทูลินั่มท็อกซินจากเยอรมัน ไดมอนด์ ท็อกซิน และเครื่องมือยกกระชับผิวหน้าและลำคอ อัลเธอร่าต้นแบบจากอเมริกา
“Live Better, Feel Better and Look Better” เป้าหมายความงาม
เภสัชกรหญิงกิตติวรรณ เล่าเพิ่มเติมว่า เป้าหมายที่บริษัทยึดถือเป็นทิศทางเดียวกันทั่วโลก คือ Live Better, Feel Better แต่เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย ได้ต่อยอดสู่ Live Better, Feel Better and Look Better เพื่อสะท้อนถึงความไม่หยุดยั้งในการพัฒนาเทคโนโลยีความงามด้วย Product Innovation และการนำเสนองานวิจัยและพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ความงามเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้ความร่วมมือกับแพทย์และพาร์ทเนอร์เพื่อเข้าใจและเข้าถึงเทรนด์ความงามอย่างแท้จริง
“ถ้าพูดถึงตลาดความงามในไทยมีผู้ให้บริการนวัตกรรมดังกล่าวเป็นจำนวนมาก แต่กลุ่มพรีเมี่ยมถือว่ามีคู่แข่งไม่มากนักแต่การแข่งขันสูง แตกต่างจากกลุ่มอื่นที่จะเป็นการลอกเลียนนวัตกรรมจากกลุ่มพรีเมี่ยม โดยนำมาปรับใช้และทำราคาถูกกว่าถึง 10 เท่าตัว จะเห็นได้ว่าวันนี้ความงามเป็นเรื่องของคนทุกกลุ่ม ไม่ใช่แค่ผู้หญิงหรือวัยทำงาน แต่ผู้ชาย หรือวัยรุ่น ก็เข้าสู่เทรนด์ความงามแล้ว และเรายังเริ่มเห็นเทรนด์ความงามนอกเหนือจากใบหน้า สู่ร่างกายด้วย รวมถึงการทำหัตถการที่ไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งทำให้ตลาดความงามเติบโตยิ่งขึ้นจากวิธีการรักษาที่หลากหลายขึ้นด้วย”
สร้าง “Direct to Consumer” ต่อยอดเทรนด์ความสวยตรงใจผู้คน!
การทำตลาดในประเทศไทย เมิร์ซ เอสเธติกส์ เน้นการนำเสนอนวัตกรรมความงามโดยมองเทรนด์อนาคตเป็นหลัก เราคำนึงถึงความต้องการของลูกค้าแล้วจึงนำมาต่อยอด เพื่อสร้าง Direct to Consumer ให้ได้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็มุ่งสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง เพื่อสื่อสารและสร้างความเชื่อถือแก่ผู้บริโภคให้มากขึ้น เพิ่มเติมจากชื่อเสียงซึ่งแบรนด์เป็นที่รู้จักในกลุ่มแพทย์เป็นอย่างดีอยู่แล้ว
ตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจในไทย เมิร์ซ เอสเธติกส์ สามารถสร้างรายได้เกิน 100 ล้านบาทตั้งแต่ปี 2015 และเติบโตขึ้นเป็น 200 ล้านบาทในปี 2016 จากนั้นก็เติบโตอย่างต่อเนื่องเป็น 400 ล้านบาทในปี 2017 ส่วนในปี 2018 ก็ทำรายได้ถึง 550 ล้านบาท และคาดว่าจะมากกว่า 600 ล้านบาทในปีนี้
Successful Woman ต่อยอดแคมเปญ “สวยสร้างสุข สุขสร้างสำเร็จ”
แน่นอนว่าทิศทางตลาดความงามยังมี ผู้หญิง เป็นกลุ่มหลัก แต่จากสถิติของบริษัทพบว่า “ผู้หญิงยังคงต้องการความสวย เพราะไม่มั่นใจความสวยในแบบของตนเอง” เมิร์ซ เอสเธติกส์ จึงผลักดันแคมเปญใหม่ “Successful Woman” เพื่อให้ผู้หญิงมีความมั่นใจในตัวเองและกล้าทำอะไร ๆ มากขึ้นกว่าที่เคย โดยสะท้อนผ่านแนวคิด “สวยสร้างสุข สุขสร้างสำเร็จ” ซึ่งบริษัทจะให้ความรู้ความเข้าใจทั้งพาร์ทเนอร์และลูกค้า เพื่อสื่อสารกับผู้บริโภคให้เข้าถึงแคมเปญดังกล่าวและมั่นใจในความงามของตนเอง
ขณะเดียวกัน ตลาดความงามกลุ่มผู้ชายก็เป็นตลาดที่น่าสนใจ เนื่องจากผู้ชายหันมาให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองและกล้าใช้นวัตกรรมความงามมากขึ้น โดยเฉพาะการทำหัตถการ ซึ่งเทรนด์ดังกล่าวเป็นแนวโน้มเดียวกันทั่วโลก และบริษัทก็มีแผนจะขยายตลาดสู่กลุ่มผู้ชายมากขึ้นด้วย
