ที่ผ่านมา “ขนมสาหร่าย” เรียกได้ว่า มีการเติบโตมากกว่าขนมชนิดอื่น ๆ แต่ล่าสุดทาง ‘มาชิตะ’ ได้ออกมาเปิดเผยว่า ในปีนี้รวมไปถึงปีหน้า สถานการณ์ของตลาดดังกล่าว จะอยู่ในภาวะทรงตัว มีการเติบโตไม่หวือหวาอย่างที่ผ่านๆ มา
โดยมูลค่าตลาดสแน็คสาหร่ายโดยรวมของปี 2018 อยู่ที่ราวๆ 3,000 ล้านบาท เติบโตอยู่ที่ 5.2% ส่วนในปี 2019 มูลค่าตลาดอยู่ที่ 2,978 ล้านบาท ติดลบ 0.9% แต่ภายใต้ข่าวร้ายที่ว่านั้น ก็ยังพอจะมีข่าวดีอยู่บ้าง เพราะกระแสนิยม “ขนมสาหร่ายอบกรอบ” ของมาชิตะกลับมียอดขายเพิ่มขึ้นจาก 20% เป็น 30% ในปัจจุบัน
ถึงแม้ว่า “มาชิตะ” อาจจะไม่ใช่เจ้าตลาดสาหร่ายสแน็คในไทย เพราะ “เถ้าแก่น้อย” ยังคงครองมาร์เก็ตแชร์สูงสุดที่ 66.5%, “มาชิตะ” 16.6% และ “ซีลิโกะ” 2.7% แต่สำหรับสาหร่ายอบกรอบสไตล์เกาหลีแท้ มาชิตะ ถือว่ามีการเติบโตที่ดีขึ้นเรื่อยๆ มีเอกลักษณ์และได้รับฟีดแบ็กที่ดี ทั้งเรื่องความกรอบ หอม อร่อย ส่วนหนึ่งคือได้อานิสงส์มาจากพาร์ทเนอร์ธุรกิจที่เป็นชาวเกาหลี ซึ่งโนวฮาวทั้งหมดเกี่ยวกับสาหร่ายสไตล์เกาหลีแท้จึงแตกต่างจากคู่แข่งสิ้นเชิง ขณะที่เถ้าแก่น้อยยังติดสัญลักษณ์ของการเป็นผู้บุกเบิกสแน็คสาหร่ายแบบทอดมากกว่า
จุดแข็งแบรนด์ “ไม่ใส่ผงชูรส” มุ่งธุรกิจสาหร่าย “อบกรอบ”
ดังนั้น กลยุทธ์ของ “มาชิตะ” ต่อจากนี้และคิดว่าน่าจะเป็นจุดแข็งของแบรนด์ ก็คือ “ไม่ใส่ผงชูรส” ในทุกๆ SKU ซึ่งจะเห็นว่านับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาเราเริ่มแบนการใช้ผงชูรสในทุกๆ โปรดักส์อย่างจริงจัง ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดีมาก ทั้งยังเปรยๆ ด้วยว่าคู่แข่งของมาชิตะก็เริ่มจะใช้วิธีเดียวกัน ไม่ใส่ผงชูรสในบาง SKU แล้วตอนนี้
นอกจากนี้ ทิศทางของมาชิตะจะไดร์ฟธุรกิจขนมสาหร่ายมุ่งไปที่ “ประเภทอบ” มากที่สุด และจะลดขนมสาหร่ายแบบทอดลงเล็กน้อย รับกระแสการดูแลสุขภาพซึ่งผู้บริโภคคอนเซินมากที่สุด โดยทางมาชิตะ เปิดเผยการเติบโตของสาหร่ายประเภทอบในแต่ละแบรนด์ในปี 2018 “เถ้าแก่น้อย” ติดลบ 31%, “มาชิตะ” 6.3% และ “ซีลิโกะ” ติดลบ 21.8% ทั้งนี้ ขนมสาหร่ายมีอยู่ 3 ประเภทหลักๆ “ทอด-อบ-ย่าง” กรรมวิธีแบบอบ ถือว่าเป็นมิตรต่อสุขภาพมากที่สุด ขณะที่ “สาหร่ายแบบย่าง” จำเป็นต้องใช้การเคลือบด้วยน้ำตาล ซึ่งจะทำให้รสชาติสาหร่ายแท้ๆ หายไปเหลือแต่ความหวาน
แตกไลน์ธุรกิจ “มาชิตะ FUN” กระตุ้นโตพันล้านบาท
ด้วยสถานการณ์โดยภาพทั้งเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว ขณะที่ราคาสาหร่ายก็ไม่เสถียร บางปีหากสภาพอุณหภูมิไม่เหมาะสมผลผลิตสาหร่ายก็จะน้อยลง ซึ่งสาหร่ายถือว่าเป็นขนมที่มีต้นทุนการผลิตสูง ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลให้ มาชิตะ เลือกที่จะเปิดไลน์ธุรกิจใหม่เพิ่มเติม ซึ่งนายธิติพร ธรรมาภิมุขกุล ผู้อำนวยการกลุ่มการตลาด ธุรกิจนอนแอลกอฮอล์ บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้บริษัทได้เปิดตัว “มาชิตะ FUN” ไปแล้วราว 1 เดือน โดยย้ำว่า “ขนมขึ้นรูป” เข้าข่ายธุรกิจที่น่าสนใจที่สุดในตอนนี้ เพื่อช่วยเพิ่มจุดแข็งให้กับธุรกิจมาชิตะ
ด้วยมูลค่าตลาดของขนมขึ้นรูปที่ 10,193 ล้านบาท หรือ 27.4% เป็นอันดับ 2 รองจาก “กลุ่มมันฝรั่งทอด” ซึ่งใหญ่ที่สุดในตลาดสแน็คคิดเป็นสัดส่วน 32.2% มีมูลค่า 12,006 ล้านบาท ส่วนตลาดสาหร่ายมีสัดส่วน 8.1% มีมูลค่าที่ 3,032 ล้านบาท
แต่กลุ่มขนมมันฝรั่งทอดที่มีเจ้าตลาดขนาดใหญ่มากอย่าง “เลย์” ซึ่งยากที่จะโค่นบัลลังก์ได้ ดังนั้น กลุ่มขนมขึ้นรูปจึงตอบโจทย์มาชิตะมากที่สุด ซึ่งในปี 2019 มาชิตะจัดสรรงบประมาณเพื่อการโฆษณาทางออนไลน์เท่านั้น เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มทาร์เก็ตมากขึ้นราว 60 ล้านบาท โดย 10 ล้านบาทสำหรับมาชิตะ FUN และคาดว่าในปี 2020 จะใช้งบประมาณเท่าเดิม นอกจากนี้ ในปีหน้ามาชิตะ FUN เตรียมจะปล่อยรสชาติใหม่เพิ่มเติม นอกเหนือจากรสสาหร่าย และรสชีส
ทั้งนี้ เป้าหมายการเติบโตธุรกิจของมาชิตะ คือ แตะระดับที่ 1,000 ล้านบาทภายใน 3 ปี ซึ่งก็น่าลุ้นต่อว่า สาหร่ายอบที่เป็นจุดแข็งของมาชิตะ แล้วยังไม่นับรวมรสชาติเซอร์ไพรส์อื่นๆ ที่กำลังตามมาอีกในปีหน้า ก็น่าจะช่วยให้ธุรกิจมาชิตะเดินหน้าได้ตามเป้า