เป็นไปตามความคาดหมายเมื่อ Apple เปิดตัว Apple Watch รุ่นใหม่ใน Apple Event เมื่อคืนที่ผ่านมาหลายรุ่นด้วยกันหนึ่งในนั้นคือ Apple Watch Ultra ที่หวังเจาะตลาด Smartwatch สำหรับนักกีฬา เอาใจคนเล่นกีฬาสายวิ่งเทรล, ปั่นจักรยาน, ว่ายน้ำ เรื่อยไปจนถึงดำน้ำ ซึ่งถือเป็นการหันไปตีตลาดที่ Garmin ครองส่วนแบ่งเอาไว้ได้มาโดยตลอด
ความพยายามในครั้งนี้นับเป็นการเจาะตลาดใหม่เพิ่มเติมเพื่อให้ Apple ยังครองบัลลังก์ในฐานะผู้ครองส่วนแบ่งตลาด Smartwatch ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเอาไว้ต่อไปอย่างแข็งแกร่งโดยนอกจาก Apple Watch Ultra แล้ว Apple ยังปล่อย Apple Watch Series 8 รุ่นล่าสุดออกมาด้วยซึ่งนับเป็น Apple Watch รุ่นที่ 8 แล้วหลังจากเปิดตัว Apple Watch รุ่นแรกนับตั้งแต่ปี 2015
ข้อมูลจาก Counterpoint Research ที่ทำการสำรวจในปี 2021 ที่ผ่านมาพบว่า Apple ครองส่วนแบ่งตลาด Smartwatch ของโลกที่มียอดส่งออกรวม 127 ล้านเครื่อง เอาไว้ได้ด้วยสัดส่วนถึง 30.1% หรือพูดง่ายๆว่า Smartwatch ในที่ขายได้ 10 เรือนจะเป็น Apple Watch อยู่ 3 เรือน โดย Apple นำหน้าคู่แข่งอย่าง SAMSUNG ที่ตามมาในอันดับที่ 2 ด้วยส่วนแบ่งตลาด 10.2% อยู่ไกลเลยทีเดียว ตามมาด้วย Huawei, imoo, amazfit ในอันดับ 3, 4 และ 5 ตามลำดับ ส่วน GARMIN นั้นอยู่ในอันดับที่ 6 ด้วยส่วนแบ่งตลาด 4.6% แต่จุดนี้ก็จะเป็นตลาดของ Smartwatch สายลุยโหด ที่ Apple Watch Ultra กำลังถูกส่งมาแข่งขันอย่างเต็มตัวแล้วนั่นเอง
หันไปดูที่กลุ่มประเทศเป้าหมายที่มีโอกาสที่จะซื้อ Smartwatch มากที่สุดจากสถิติของ Statista Global Consumer Survey ที่ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างประชากรประเทศละ 1,000-4,000 คนเพื่อศึกษาพฤติกรรมการใช้แอปพลิเคชั่นเพื่อสุขภาพโดยพบว่าชาว “จีน” และ “อินเดีย” เป็นประเทศที่มีสัดส่วนประชากรที่ใช้แอปพลิเคชั่นสุขภาพมากที่สุดที่ 65% และ 63% ตามลำดับ ตามมาด้วย “อินโดนีเซีย” ที่ 57%
ส่วนสหรัฐอเมริกาแม้จะมีสัดส่วนชาวอเมริกันใช้แอปพลิเคชั่นเพื่อสุขภาพเกือบครึ่งที่ 44% แต่ก็เป็นชาติที่ชอบใช้แอปพลิเคชั่น “ฟรี” มากกว่าที่จะเสียเงินซื้อ เช่นเดียวกับชาว “เยอรมนี” ส่วนภูมิภาคยุโรปนับว่าเป็นภูมิภาคที่ใช้แอปฯสุขภาพน้อยมากที่สัดส่วนเพียง 22-40% ส่วนชาติที่ใช้แอปฯสุขภาพน้อยที่สุดคือ “ญี่ปุ่น” ที่มีสัดส่วนคนใช้แอปพลิเคชั่นเพื่อสุขภาพเพียง 12% เท่านั้น
ทั้งนี้ในงาน Apple Event เมื่อคืนที่ผ่านมา Apple เปิดตัว Apple Watch Series 8 ราคาเริ่มต้น 15,900 ที่มีการปรับปรุงระบบ Always On Display มีระบบเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิร่างกายที่ดีขึ้นสามารถวัดรอบเดือนและวันไข่ตกได้แม่นยำขึ้น เพิ่มฟีเจอร์ Crash Detection ตรวจจับว่าเกิดอุบัติเหตุผ่านการเคลื่อนไหวเป็นต้น นอกจากนี้ยังเปิดตัว Apple Watch SE รุ่นประหยัดราคาเริ่มต้น 9,900 บาทที่ทำงานได้เร็วกว่า Apple Watch Series 3 จอใหญ่ขึ้น แบตใหญ่ขึ้น และมี Crash Detection มาด้วย
และที่ฮือฮาสุดก็คือ Apple Watch Ultra ราคาเริ่มต้นที่ 31,900 ที่มาพร้อมหน้าจอ 49 มม. ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา วัสดุไทเทเนียมแข็งแรงเกรดอุตสาหกรรมอวกาศ, กระจก Sapphire, Digital Crown ที่ทนทานกว่าเดิม แบตอึด 36-60 ชั่วโมง พร้อมฟีเจอร์ออกกำลังกายข้นสูง การเชื่อมต่อโปรแกรมดำน้ำ รวมถึง GPS ระบบใหม่ที่ Apple ระบุว่า แม่นยำที่สุดในตลาดนาฬิกาสายลุยในเวลานี้ และยังมีสายนาฬิกาที่เหมาะกับกีฬาต่างๆ เป็นต้น
แน่นอนว่าการมาของ Apple Watch Ultra รวมถึง Apple Watch รุ่นอื่นๆ จะทำให้ตลาด Smartwatch กลับมาคึกคักอีกครั้ง ซึ่งคงจะต้องติดตามกันต่อไปว่า Smartwatch ของแบรนด์คู่แข่งทั้งที่อยู่ในตลาดอยู่แล้วรวมถึง Smartwatch รุ่นใหม่ๆที่กำลังจะวางตลาดจะสามารถต่อกรกับเจ้าตลาดอย่าง Apple ได้มากน้อยแค่ไหนก็คงต้องติดตามกันต่อไป