นอกจากเป็นอัจฉริยะและเป็นเศรษฐีติดอันดับโลกแล้ว มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ยังได้ชื่อว่า เป็นสามีตัวอย่างที่ยืนหนึ่งเรื่องรักเมียแบบสุดๆ
โดยก่อนหน้าจะขึ้นเวที F8 ไม่กี่วัน เขาเพิ่งโพสต์ภาพกล่องไม้ปริศนาที่เรืองแสงได้ทั้งบนเฟซบุ๊คและอินสตาแกรม แล้วก็ไม่ปล่อยให้สาวกต้องมานั่งเดาว่ามันคืออะไร เพราะเจ้าตัวเฉลยไว้ใต้โพสต์นั้นเลยว่า มันคือสิ่งประดิษฐ์ที่เขาทำขึ้นเพื่อด็อกเตอร์สาวคุณแม่ลูกสอง ภรรยาสุดที่รัก ‘พริสซิลลา ชาน’ นั่นเอง
หลังจากต้องทนเห็นภรรยาพักผ่อนไม่เพียงพอ เพราะกังวลกับเวลาตื่นนอนของลูก ๆ ที่ส่วนใหญ่เธอมักจะสะดุ้งตื่น และลุกขึ้นมาหยิบโทรศัพท์เพื่อดูเวลา ก่อนจะล้มตัวลงนอนต่อเพราะพบว่า มันยังไม่ถึงเวลาตื่นของเด็กๆ
แต่การรู้เวลาก็ทำให้เธอยากที่จะนอนหลับต่อได้สนิท และเป็นสาเหตุให้พริสซิลลา พักผ่อนไม่เพียงพอ คุณสามีแห่งชาติก็เลยสวมบทเป็นเมคเกอร์ ประดิษฐ์สิ่งที่เขาเรียกมันว่า ‘Sleep Box’ ที่ไม่ใช่ห้องสำหร้บงีบเหมือนอย่างที่เห็นตามสนามบิน หรือโรงแรมจำพวกโฮสเทล แต่มันเป็นกล่องไม้เล็กๆ ที่เรืองแสงได้ เพื่อใช้ทดแทนนาฬิกา โดยไม่บอกเวลาแต่จะเรืองแสงขึ้นมาในช่วง 6-7 โมงเช้า
“กล่องนี้เรืองแสงพอให้รู้ว่า ถึงเวลาที่ต้องลุกไปดูลูกแล้ว แต่มันก็ไม่ได้สว่างเกินไปจนปลุกเธอ”
มาร์คเผยว่า การที่คิดประดิษฐ์สิ่งนี้ขึ้นมา ก็เพื่อแสดงถึงความรักและความขอบคุณที่เขามีต่อภรรยา ซึ่งมันก็ทำงานได้ผลดีกว่าที่คิดไว้ เพราะช่วยให้เธอนอนหลับได้สนิทตลอดคืน แม้จะสะดุ้งตื่นมาเพราะกังวล แต่เมื่อเห็นว่า กล่องไม่ได้เรืองแสง เธอก็สามารถนอนต่อได้ เพราะไม่รู้ว่านั่นกี่โมงแล้ว
ความดีงามของสิ่งประดิษฐ์ที่ทำหน้าที่เป็นนาฬิกาแต่ไม่บอกเวลาชิ้นนี้ ถือเป็นการแก้ปัญหาได้ตรงจุด โดย Dr. Deirdre Conroy ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมการนอน จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ให้สัมภาษณ์ไว้กับ CNN ว่า ปัญหานอนไม่พอเกิดขึ้นเยอะมากในกลุ่มพ่อแม่มือใหม่ จึงรู้สึกชื่นชมกับไอเดียนี้ เนื่องจากมีคนจำนวนมากที่มีปัญหาเรื่องการนอนเพราะคอยแต่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูระหว่างคืน และเมื่อคุณเช็คเวลา ก็จะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความกังวล
โดยส่วนตัวเธอเอง มักจะแนะนำคนไข้ที่มีปัญหาเรื่องการนอน ให้หลีกเลี่ยงการดูนาฬิกา เพื่อจะได้ไม่ต้องมาคอยคิดว่า นอนได้อีกนานแค่ไหน และการไม่รู้เวลาก็จะช่วยให้หลับต่อได้อย่างไม่กังวล โดยเธอเห็นว่า ไอเดียสิ่งประดิษฐ์ของมาร์คชิ้นนี้ สามารถช่วยแก้ปัญหาให้กับคนที่นอนไม่หลับ ซึ่งมีอยู่ราว 30% ของประชากรได้
มันก็เลยเป็นเหตุให้ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ตัดสินใจนำเรื่องนี้มาเล่าบนโซเชียล เผื่อว่า สตาร์ทอัพรายไหนอยากจะหยิบไอเดียนี้ไปพัฒนาเป็นโปรดักท์ก็จะสามารถช่วยคนได้อีกมาก
ที่มา : cnn., IG @zuck