เมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา WPP บริษัทโฆษณารายใหญ่ที่สุดของโลกจากอังกฤษ ได้ประกาศลดเงินเดือนพนักงานในระดับสูง 20% อย่างน้อย 3 เดือน ทั้งยังใช้มาตรการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ระงับโควต้ารับพนักงานใหม่ชั่วคราว หรือยกเลิกสวัสดิการพนักงานบางอย่างที่ฟุ่มเฟือยชั่วคราว
ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวล่าสุดของ WPP โดย Mark Read ผู้บริหารระดับสูง เปิดเผยว่า “บริษัทจะเริ่มค่อยๆ ขยับตัวฟื้นกิจการ และคาดว่าจะเริ่มกลับมาทำตลาดได้อีกครั้งในช่วงปลายปี 2020”
ขณะที่ทาง WPP ได้เปิดเผยรายได้ในช่วง Q2/2020 ว่าลดลงต่อเนื่องอีก 15% เนื่องจากรายได้จากโฆษณาลดลง โดย Mark Read ระบุว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยกระต้นที่ทำให้ WPP ต้องคิดถึงแนวทางการฟื้นฟูกิจการอย่างจริงจัง แต่ต้องระมัดระวังในการฟื้นตัวด้วย
“เราจะทำงานแบบวิธีผสมผสานมากขึ้น มุ่งสู่ดิจิทัลมากขึ้น แต่ก็ไม่ลืมการตลาดแบบแอนะล็อกเพราะยังมีความสำคัญอยู่”
ทั้งนี้ แนวทางการฟื้นตัวธุรกิจของ Mark Read – WPP to health สรุปคร่าวๆ ดังนี้
-
มุ่งการทำธุรกิจแบบไฮบริด คือ ควบคู่ไปทั้งดิจิทัลและแอนะล็อก ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี 2018 ชื่อว่า ‘creative transformation’
-
โครงสร้างการทำงานของ VMLY&R และ Wunderman Thompson 2 บริษัทในเครือจะถูกใช้เป็นโมเดลที่จะฟื้นตัว มุ่งการทำงานไปสัดส่วนของดิจิทัลมากกว่า และประสบความสำเร็จ
-
ใช้เทคโนโลยีในการทำความเข้าใจในพฤติกรรมของผู้บริโภค เพื่อที่จะเสนอทางเลือกที่ดีที่สุดให้ลูกค้า โดยคาดว่าลูกค้าจะเริ่มใช้จ่ายทางการตลาดปลายปีนี้ และลงทุนอย่างหนักไปกับอีคอมเมิร์ซ – สื่อดิจิทัลเพื่อเข้าถึงลูกค้า
-
ในปัจจุบันแบรนด์ต่างๆ มียอดขายออนไลน์เพิ่มขึ้นแตะระดับ 100% และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น WPP จะสนับสนุนลูกค้า 8 ใน 10 สำหรับการลงทุนในกลยุทธ์ด้านอีคอมเมิร์
-
เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างรายได้บริษัทกับค่าใช้จ่ายด้านสื่อของลูกค้าแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน ดังนั้น WPP จะลงทุนเพิ่มขีดความสามารถ และเทคโนโลยีด้านสื่อดิจิทัลมากขึ้นกว่าเดิม
-
โลกแห่ง Omnichannel ทำให้ WPP ต้องบาลานซ์ระหว่างโฆษณาแบบดิจิทัลและแอนะล็อก โดย Read ย้ำว่าแม้ว่าเทรนด์ของ Video streaming จะมาแรงแค่ไหน แต่โฆษณาทางโทรทัศน์ก็ยังจำเป็นต้องมี
ดังนั้นพูดง่ายๆ ก็คือ ดำเนินธุรกิจแบบผสมผสานแต่ต้องมีความคล่องตัวสูง คือ แนวทางธุรกิจของ WPP ขนาดคนยังต้องมี multi-skill เลย แล้วภาคธุรกิจทำไมจะไม่ปรับเป็นแบบไฮบริดล่ะ