ในการทำธุรกิจออนไลน์ หนึ่งในหัวใจสำคัญที่ทำให้ประสบความสำเร็จ และบรรดาแบรนด์หรือพ่อค้าแม้ค้าออนไลน์จำเป็นต้องรู้ ก็คือ พฤติกรรมของนักชอปไทยเป็นอย่างไร ซึ่งทาง thinkwithgoogle ได้สรุป 3 เทรนด์หลักของนักชอปไทยที่เปลี่ยนไปที่ล้วนแล้วน่าสนใจ และเราขอนำมาเสนอในวันนี้
1.คุ้นเคยและเฝ้ารอ Mega sales แทนการชอปวันเงินเดือนออก
แม้ 11.11 ยังเป็นเทศกาลชอปปิ้งที่ได้รับความสนใจมากสุดสำหรับนักชอปไทย โดยค้นหามากกว่า 6.6, 7.7, 8.8 ถึง 4 เท่า แต่เมื่อเปรียบเทียบการเติบโตปีต่อปีของคำค้นหาเกี่ยวกับ Mega Shopping Day จะเห็นได้ว่า นักชอปไทยเริ่มสนใจ Mega sales ในเดือนอื่น ๆ ตลอดปี
2.เช็คชัวร์ก่อนชอป
ผู้บริโภคส่วนมากเลือกหาข้อมูลออนไลน์ก่อนตัดสินใจซื้อ โดย 95% ของนักชอปไทย บอกว่า online search engine ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อเป็นอย่างมาก , การค้นหา ‘ยี้ห้อไหนดี’ เพิ่มขึ้น 24% โดยคำที่มีการค้นหามากสุด ได้แก่ ‘วิตามินยี่ห้อไหนดี’, ‘แอร์ยี่ห้อไหนดี’ และ ‘คอลลาเจนยี่ห้อไหนดี’
3.เปิดใจกับการซื้อสินค้าออนไลน์ใหม่ ๆ
ปัจจุบันมีหลายธุรกิจหันมาพึ่งช่องทางออนไลน์ในการขาย และเห็นการค้นหาที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ได้แก่
กล่องสุ่มอาหารทะเล เพิ่มขึ้น 1,100%
มังคุด ออนไลน์ เพิ่มขึ้น 200%
ซื้อ ชิม ออนไลน์ เพิ่มขึ้น 156%
สำหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ของนักชอปไทยนั้น มีด้วยกัน 5 ปัจจัย ได้แก่
1.บริการลูกค้าที่ดีเยี่ยม
2.รูปภาพหรือวีดีโอของสินค้า
3.การรับประกันความแท้ของสินค้า
4.ส่วนลดและโปรโมชั่น
5.ความหลากหลายของช่องทางชำระเงิน
สิ่งที่แบรนด์ควรทำเพื่อตอบรับพฤติกรรมนักชอปที่เปลี่ยนไป
- เป็นคำตอบ สำหรับทุกการค้นหา
กว่า 15% ของคำค้นหาบน Google Search เป็นคำใหม่ที่ไม่เคยถูกค้นหามาก่อนเพราะฉะนั้นแบรนด์ควรทำ Search Ads ให้ตรงใจกับคำค้นหาของผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด เพื่อเพิ่มโอกาสในการคลิกดูข้อมูลและสั่งซื้อสินค้า โดยเทคนิคง่ายๆเปลี่ยน Search Ads ที่ ‘ดี’
1.เขียน Headline กระชับและได้ใจความ
วิธีที่ดีที่สุดในการเขียน Headline สำหรับ Responsive Search Ads คือการเขียน Headline สั้นๆ ให้ได้ใจความ เนื่องจากกลไกของ Machine Learning จะนำ Headline ที่ถูกเขียนขึ้นไปประกอบกันให้เกิดรูปแบบต่างๆ ที่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายที่กำลังค้นหา ผู้ลงโฆษณาสามารถใช้ Headline จำนวน 8-15 แบบที่กระชับ ไม่มีคำซ้ำกัน ได้ใจความ และมีความหมายที่แตกต่างกันเพื่อให้ระบบไปจับคู่หารูปแบบที่ดีที่สุดมาใช้ในการลงโฆษณา โดยสามารถใช้ตารางด้านล่างเป็นแนวคิดเพื่อสื่อสารความน่าสนใจของสิ่งที่ต้องการโฆษณาจากแต่ละมุมมองได้
2.เลือกใช้อย่างน้อย 3 คีย์เวิร์ดยอดนิยมลงใน Headline
การใส่คีย์เวิร์ดคำเดียวกับที่ผู้บริโภคใช้ในการค้นหาสินค้าและบริการในโฆษณาจะช่วยดึงความสนใจจากผู้ค้นหาได้ ดังนั้นเพื่อสร้าง Headline ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดบน Responsive Search Ads เราควรศึกษาคำค้นหายอดนิยมจาก search term report หรือ keyword insertion และเลือกใช้คำค้นหายอดนิยมอย่างน้อย 3 คำค้นหามาอยู่ใน Headline
3.เลือกใช้คำกระตุ้น Call-To-Action
การใส่คำที่กระตุ้นให้ผู้เห็นโฆษณาได้กระทำบางอย่าง (Call-To-Action) ก็จะยิ่งทำให้ Headline ที่ถูกใช้นั้นมีน้ำหนักยิ่งขึ้นเช่น “โทรมาเลยวันนี้” หรือ “จองตอนนี้” หรือคำกระตุ้นอื่นๆ ที่เราต้องการให้ลูกค้าลงมือทำ
4.เพิ่มความสนใจด้วยข้อความสิทธิประโยชน์ โปรโมชั่น หรือเงื่อนไขพิเศษ
การใส่โปรโมชั่น สิทธิประโยชน์ เงื่อนไขพิเศษต่างๆ หรือจุดเด่นของสินค้าที่ตอบโจทย์ลูกค้า ทั้งใน Headline และ Description ของโฆษณาจะช่วยดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมายตั้งแต่แรกเห็น เช่น ผ่อนฟรีกี่ % กี่เดือน
5.ปักหมุดตำแหน่ง Headline และ Description
ด้วยค่าเริ่มต้น (default) เมื่อผู้ลงโฆษณาสร้าง Responsive Search Ads แล้ว Headline และ Description จะปรากฏอยู่ในลำดับใดก็ได้ แต่เราสามารถกำหนดได้ว่าจะให้ Headline และ Description ของแต่ละรายการปรากฏที่ใดในโฆษณาได้ด้วยการปักหมุดไว้ที่ตำแหน่งที่ต้องการ
ตัวอย่างเช่น หากผู้ลงโฆษณาต้องการแสดงเงื่อนไขในการบริการในทุกโฆษณา ก็สามารถเขียนและปักหมุด Description นี้ไว้ที่ตำแหน่ง Description 1 ทำให้ข้อความเงื่อนไขนี้จะปรากฏในส่วนแรกของ Description ของโฆษณาทั้งหมดที่แสดงต่อลูกค้า นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ลงโฆษณาที่ใช้เทคนิคเหล่านี้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของ Responsive Search Ads ในแคมเปญของพวกเขา ตัวอย่างเช่นเอเจนซี่ชั้นนำอย่าง i-DAC Bangkok ภายใต้เครือ Hakuhodo ที่เห็นยอดคลิกและ Conversion เพิ่มขึ้นในแคมเปญของผู้ลงโฆษณาจากหลากหลายอุตสาหกรรม
- ทำให้ผู้บริโภคค้นเจอแบรนด์ของคุณได้ง่ายๆบนโลกออนไลน์
เมื่อผู้บริโภคทำการค้นหาสินค้าหรือบริการที่ตรงกับสิ่งที่แบรนด์ของคุณมี แบรนด์ของคุณควรปรากฏในผลการค้นหาเพื่อไม่ให้พลาดโอกาสในการสร้างยอดขาย
ที่มา : thinkwithgoogle1