จับสัญญาณการระบาดของ ‘โควิด-19’ ทั้ง 3 ระลอก ที่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คน ทั้งด้านสุขภาพกาย และสุขภาพจิต ตลอดจนรายได้ครัวเรือน พฤติกรรมการใช้จ่าย และกิจกรรมความกังวลของผู้คนในอาเซียน รวมไปถึงคนไทยที่ 80% รายได้และเงินออมลดลง
‘วิถีชีวิตท่ามกลางวิกฤตโรคระบาดใหญ่ ความคิดเห็น และพฤติกรรมของประชากรทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้’ เป็นผลวิจัยที่ทาง ‘บริษัท อิปซอสส์ (ประเทศไทย) จำกัด’ จัดทำขึ้นมาด้วยการจัดเก็บข้อมูลผ่านแบบสอบถามออนไลน์กับผู้เข้าร่วมทำแบบสอบถามมีอายุมากกว่า 18 ปีขึ้นไป ในสิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ประเทศละ 500 คน รวมทั้งสิ้น 3,000 คน จัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564
รายงานวิจัยดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงความคิดเห็นและความกังวลต่อสภาวะการณ์รวมของสถานการณ์โควิด 19 พบสัดส่วนความกังวลของผู้คนในระดับสูงของการแพร่ระบาดทั้งสามระลอก โดยระลอกแรกอยู่ที่ 45% ระลอกสองอยู่ที่ 50% และระลอก 3 อยู่ที่ 49%
หากเจาะเฉพาะคนไทยพบว่า อัตราความกังวลในเรื่องนี้ ระลอกแรกอยู่ที่ 83% ระลอกสองอยู่ที่ 77% และระลอก 3 อยู่ที่ 78% เป็นระดับความกังวลที่ไม่เปลี่ยนแปลงมากนักเมื่อเกิดการระบาดระลอกใหม่
80% ของคนไทยเงินออมลดลง และกังวลเรื่องรายได้มากสุด
ส่วนประเด็นที่คนได้รับผลกระทบเป็นลำดับต้น ๆ ได้แก่ รายได้ครัวเรือน และเงินออม โดยในส่วนรายได้ครัวเรือน พบว่าการระบาดในระลอก 3 ผู้คนจากประเทศอินโดนีเซียมีรายได้ครัวเรือนลดลง 82% เป็นระดับต่ำสุดเมื่อเทียบกับ 6 ประเทศที่ได้ทำการสำรวจ
ตามด้วย ไทย ในอัตราที่ 80% พบว่า คนไทยมีเงินออมที่ลดลงโดยเฉพาะหลังการระบาดระลอก 3 ที่คนไทย 80% บอกว่า ตนมีเงินออมลดลง ซึ่งลดลงมากกว่าค่าเฉลี่ยของคนทั้งอาเซียนในระลอก 3 ที่อยู่ที่ 70% และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างการระบาดในระลอก 2 และ 3 คนไทยมีความกังวลเรื่องรายได้สูงกว่าอัตราเฉลี่ยของประชากรในภูมิภาค SEA และการกังวลดังกล่าวลากยากไป 3 ปี
กับคำถามที่ว่า หากรัฐบาลนำมามาตรการปิดกัดกลับมาใช้อีกครั้งเพื่อระงับการแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นในอนาคต คุณมีความกังวลต่อที่อาจเกิดขึ้นในระดับใด และเป็นกังวลว่าจะส่งผลต่อรายได้ของคุณหรือไม่ พบว่าความกังวลของคนไทยในคำถามดังกล่าวอยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยของคนในภูมิภาค ยิ่งไปกว่านั้นความกังวลยังเพิ่มสูงขึ้นอีกกับการระบาดในระลอก 3 โดยอยู่ที่ 83% ส่วนระลอกแรก 82% และระลอก 2 อยู่ที่ 81%
พฤติกรรมคนเปลี่ยน
เมื่อมาดูถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายของคนในอาเซียน พบว่า ส่วนใหญ่ระมัดระวังการใช้เงิน ไม่ซื้อของชิ้นใหญ่ ๆ และใช้เงินกับของจำเป็น
85% ระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น
79% ออกไปเดินห้างน้อยลง
51% มีการกักตุนสินค้าและของใช้ส่วนตัว
32% ลองซื้อสินค้าแบรนด์ใหม่
19% ซื้อสินค้าในครัวเรือนที่มีราคาแพงกว่าปกติที่เคยซื้อ
นอกจากพฤติกรรมการใช้จ่ายแล้ว การทำกิจกรรมของคนอาเซียนก็เปลี่ยนไป โดยกิจกรรมด้านดิจิทัลกลับมีความต้องการมากขึ้น เช่น อีคอมเมิร์ซ การใช้จ่ายแบบไม่ใช้เงินสด และสตรีมมิ่ง รวมถึงโควิดยังทำให้นิสัยคนเปลี่ยนไป กลายเป็นว่า กิจกรรมบางอย่างมีการทำมากขึ้นกว่าช่วงปกติก่อนเกิดโรคระบาดอย่างเด่นชัด ได้แก่ การใช้เวลากับครอบครัวมากขึ้น ใช้เวลาบนโซเชียลมีเดีย ซื้อของออนไลน์ ใช้จ่ายแบบไม่ใช้เงินสดเมื่อไปซื้อของในห้าง รับชมสตรีมมิ่ง และคอนเท้นท์ เช่น Netflix ฯลฯ เป็นสัดส่วนที่สูงขึ้น
อิษณาติ วุฒิธนากุล ผู้บริหารฝ่ายพัฒนาธุรกิจและการตลาด บริษัท อิปซอสส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงความคิดเห็นและความกังวลที่ผู้คนมีต่ออนาคตของตนเอง ภายหลังที่ได้อยู่ร่วมกับโควิดมาเป็นเวลา 1 ปี พบว่า ผู้คนในภูมิภาคยังคงต้องต่อสู้และเป็นกังวลกับการใช้จ่ายอย่างมัธยัสถ์ต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองไปยังแนวโน้มสภาวะเศรษฐกิจในอนาคต ซึ่งภาพรวมของคนทั้งภูมิภาค มีความเห็นที่รู้สึกดีกับสภาวะเศรษฐกิจในประเทศของตน ในอัตราเฉลี่ย 30%
ส่วนไทยนั้นมีอัตราต่ำสุดในกลุ่ม 6 ประเทศที่ทำการสำรวจที่อัตรา 11% และถือว่าเป็นอัตราที่ตกต่ำลงเมื่อเทียบกับช่วงการระบาดในระลอก 2 ขณะที่พฤติกรรมใช้จ่ายภายหลังการแพร่ระบาดระลอก 3 พบว่าผู้คนจะให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับจำนวนเงินที่ใช้ และไม่ใช้จ่ายกับของชิ้นใหญ่ๆ หรือแม้แต่การลองใช้สินค้าใหม่ๆ และอัพเกรด นอกจากนี้ยังพบว่า คนไทยหันมากักตุนอาหารและของใช้ส่วนตัวเพิ่มขึ้นช่วงการแพร่ระบาดระลอก 3