หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในไทยเริ่มมีแนวโน้มดีขึ้น และใกล้จะครบกำหนดการประกาศเคอร์ฟิวในวันที่ 30 เมษายน 2563 ตอนนี้ก็มีกระแสเรียกร้องให้ภาครัฐ ‘คลายล็อคดาวน์’ เพื่อให้เศรษฐกิจและภาคธุรกิจของบ้านเราได้กลับมารีสตาร์ทอีกครั้ง
แม้ทางศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) หรือ ศบค. ยังไม่มีการสรุปเรื่องนี้ออกมา อย่างไรก็ตาม คณะที่ปรึกษาด้านธุรกิจภาคเอกชน ในศบค. โดยคณะทำงานกลุ่มมาตรการสำหรับการกลับมาเปิดธุรกิจใหม่ได้มีการจัดทำคู่มือเตรียมความพร้อมการเปิดสถานประกอบการภายใต้สถานการณ์ COVID-19 ออกมาเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2563
‘เปิด-ไม่เปิด’ ประเมินตามความเสี่ยงของประเภทธุรกิจ
ภาคเอกชนได้ร่วมมือกับนักวิชาการด้านการควบคุมโลก ร่วมมือกันในการจัดทำเกณฑ์เพื่อจัดระดับความเสี่ยงของสถานประกอบการแบ่งเป็น 4 กลุ่มได้แก่
1.กลุ่มสีขาว (ได้รับข้อยกเว้น) ไม่ต้องลงทะเบียนและดำเนินการออนไลน์ แต่ขอความร่วมมือในการดำเนินการตาม “ข้อปฎิบัติพื้นที่ที่ทุกสถานประกอบการต้องปฏิบัติ” โดยธุรกิจที่อยู่ในกลุ่มนี้ ได้แก่ สถานประกอบการขนาดเล็ก อยู่ในที่โล่งแจ้ง มีลักษณะเป็นหาบเร่ แผงลอย หรือไม่มีหน้าร้านเป็นหลักแหล่ง
2.กลุ่มสีเขียว (ความเสี่ยงต่ำ)ให้สถานประกอบการ ลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ โดยทำความตกลงยอมรับข้อปฏิบัติพื้นฐานที่ทุกสถานประกอบการต้องดำเนินการ ซึ่งธุรกิจที่อยู่ในกลุ่มนี้ ได้แก่
- สถานประกอบการขนาดเล็กติดแอร์หรือไม่ติดแอร์ ไม่มีการสัมผัสตัว เช่น ร้านขายหนังสือ ร้านขายเสื้อผ้า ร้ายขายของทั่วไป ร้านขายวัสดุก่อสร้าง เป็นต้น
- สวนสาธารณะ สนามออกกำลังกายกลางแจ้ง ลานกีฬา เช่น สนามเทนนิส
3.กลุ่มสีเหลือง(ความเสี่ยงกลาง) ให้สถานประกอบการสามารถลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ โดยทำความตกลงยอมรับข้อปฏิบัติพื้นฐานซึ่งทุกสถานประกอบการต้องดำเนินการ และต้องรอการตรวจสอบจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ก่อนเปิดกิจการ และดำเนินการตามระบบการลงทะเบียนผู้ใช้บริการสำหรับสถานประกอบการ (หากพ้น 3 วัน นับจากวันลงทะเบียน เจ้าหน้าที่ยังไม่ได้มาตรวจสอบ สามารถเปิดดำเนินการตามมาตรการที่แจ้งไว้ และให้มีการตรวจสอบย้อนหลังได้) ประเภทธุรกิจในกลุ่มนี้ ได้แก่
- สถานที่รวมร้านค้าขนาดเล็ก เช่น ตลาดสด ตลาดนัด ตลาดอาหาร ฟู๊ดเซ็นเตอร์
- สถานประกอบการขนาดใหญ่ เช่น ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าโมเดิร์นเทรด คอมมูนิตี้มอลล์ เป็นต้น
- สถานประกอบการขนาดเล็กติดแอร์มีการสัมผัสตัว เช่น ร้านทำผม คลินิกความงาม คลินิกแพทย์ คลินิกทำฟัน เป็นต้น
- สถานกีฬาบางประเภท มีพื้นที่ห่างกันที่มีการระบายอากาศ เช่น สนามแบดมินตัน สระว่ายน้ำ ฯลฯ
4.กลุ่มสีแดง (ความเสี่ยงสูง ) ยังจะไม่เปิดให้ดำเนินการ จนกว่าจะมีมาตรการหรือหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ที่แสดงให้เห็นว่า มีความปลอดภัยจึงสามารถทบทวนให้เปิดบริการ โดยประเภทธุรกิจในกลุ่มนี้ ได้แก่
- สถานประกอบการขนาดเล็กติดแอร์ มีการนั่งอยู่กับที่นาน ๆ เช่น ร้านเกมส์ ร้านอินเตอร์เน็ต ฯลฯ
- สถานประกอบการที่อยู่ในห้องแอร์ มีลักษณะที่ผู้ใช้บริการต้องนั่งนานเป็นเวลา 1-2 ชั่วโมง เช่น โรงภาพยนต์ โรงละคร โรงมหรสพอื่น ๆ และร้านนวด
- สถานประกอบการที่มีการชุมนุมผู้คนจำนวนมาก อยู่ในสถานที่ปิด เช่นศูนย์การแสดงสินค้า ศูนย์ประชุม ห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่
- สถานประกอบการที่ชักนำให้มีการเคลื่อนที่ของคนข้ามพื้นที่ เช่น สถาบันกวดวิชา ฯลฯ
- สถานประกอบการที่มีการชุมนุมผู้คนจำนวนมาก อยู่ในสถานที่เปิดแต่ชวนให้ส่งเสียงดัง ตะโกน เชียร์ เช่น สนามกีฬา
- สถานประกอบการที่มีหลักฐานชัดเจนว่าเป็นแหล่งแพร่เชื้อ เนื่องจากมีพื้นที่ปิดอาการไม่ถ่ายเท มีกิจกรรมที่มีการส่งเสียง ตะโกน เชียร์ ประกอบด้วย ผับ บาร์ คาราโอเกะ สนามมวย โรงเรียนสวนมวย สนามกีฬาในห้องแอร์
ต้องมีระบบติดตามตัวผู้ใช้บริการ
อย่างไรก็ตาม การอนุญาตสถานประกอบการแต่ละประเภท ให้สามารถเปิดดำเนินการได้โดยมีระบบป้องกันความเสี่ยงนั้น ต้องมีระบบติดตามตัวผู้ใช้บริการในสถานประกอบการ โดยภาคเอกชนจะร่วมมือในการจัดทำระบบการลงทะเบียนบุคคลและสถานประกอบการที่สามารถใช้งานได้อย่างง่าย , สามารถใช้งานได้กับโทรศัพท์มือถือทุกรุ่น , ใช้งานได้ผ่านไลน์ และมีระบบสำรองข้อมูลสำหรับผู้ไม่มีโทรศัพท์มือถือในการลงทะเบียน
ขณะเดียวกันระบบที่ให้ผู้ใช้รายงานความเสี่ยงของตัวเอง และแจ้งเตือนผู้ใช้หากเข้าใกล้พื้นที่เสี่ยงที่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 โดยเก็บข้อมูลการเดินทางของประชาชน เช่น แอพฯหมอชนะ ก็ต้องมีการส่งเสริมให้ประชาชนใช้มากขึ้น
6 กฎเหล็ก WHO ต้องทำให้ได้ถึงปลดล็อคดาวน์
ทาง ‘นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน’ โฆษก ศบค. กล่าวว่า การคลายล็อคดาวน์ จะต้องมีการศึกษาชัดเจน และผ่านความเห็นชอบจาก ศบค. และมติคณะรัฐมนตรี เช่นเดียวกับการ ‘ปลดล็อคดาวน์’ ที่ต้องมี 6 ข้อตามที่องค์การอนามัยโลก หรือ WHO กำหนด จึงจะสามารถปลดล็อคดาวน์ได้ ได้แก่
- สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคในประเทศแล้ว
- ระบบสุขภาพต้องสามารถตรวจหาผู้มีอาการของโรค ตรวจหาเชื้อ แยกตัวและทำการรักษา พร้อมทั้งทำการสอบสวนโรค
- มีความเสี่ยงระดับน้อยที่สุดในสถานที่เสี่ยงภัยมากที่สุด เช่น บ้านพักคนชรา
- โรงเรียน สำนักงาน และสถานที่สาธารณสุขต่างๆ ต้องมีมาตรการโรคที่มีประสิทธิภาพ
- สามารถจัดการความเสี่ยงของโรคจากผู้ที่เดินทางเข้าประเทศได้
- คนในชุมชนต้องมีความรู้ มีส่วนร่วมและได้รับการสนับสนุนให้มีชีวิตอยู่ ภายใต้สังคมทีเปลี่ยนแปลงไปหลังการเกิดโรค
ดังนั้น เราคงต้องรอลุ้นว่า ในวันที่ 28 เมษายนที่กำลังจะถึงนี้ ในการประชุม ศบค. และคณะรัฐมนตรี ทางรัฐบาลจะมีมติในเรื่องการคลายล็อคดาวน์อย่างไร รวมถึงจะมีต่อเวลาการประกาศเคอร์ฟิวหรือไม่ด้วย
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ , ประชาชาติธุรกิจ