สำหรับ Mukesh Ambani มหาเศรษฐีผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศอินเดีย และยังเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในเอเชียแซงหน้า Jack Ma และ Pony Ma ไปแล้วหลายปี ล่าสุดได้ประกาศเป้าหมายใหม่สำหรับปี 2022 จะมุ่งหน้าสู่การลงทุนในธุรกิจ ‘พลังงานทดแทน’ มากขึ้น (ที่จริงเป็นแผนธุรกิจมานานแล้ว)
โดยได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MoU) กับรัฐบาลของรัฐคุชราตเพื่อชี้แจงการลงทุนมูลค่า 5.9 ล้านล้านรูปี (ประมาณ 2,647 ล้านบาท) ในโครงการสีเขียวด้านพลังงานทดแทน ซึ่งบริษัท Reliance Industries ได้ยื่นต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งชาติของอินเดียที่ผ่านมา โดยเป็นความตั้งใจของ Mukesh ที่อยากมีส่วนร่วมในภารกิจ net-zero carbon ภายในปี 2035
ทั้งนี้ตามแผนธุรกิจใหม่ก็คือ บริษัทจะจัดตั้งโรงงานพลังงานหมุนเวียน 100 กิกะวัตต์ และพัฒนาระบบนิเวศไฮโดรเจนสีเขียว โดยทั้งหมดนี้จะช่วยซัพพอทธุรกิจ SMEs ในพื้นที่บางส่วน และร่วมส่งเสริมให้ผู้ประกอบการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ต่อจากนี้
ในประกาศของบริษัทยังมีอัพเดทเกี่ยวกับแผนพัฒนาในอนาคตอื่นๆ อย่างเช่น การผลิตแผงโซลาร์เซลล์, อิเล็กโทรไลเซอร์, เซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell) ส่วนธุรกิจอื่นที่มีอยู่แล้ว Mukesh เตรียมจะลงทุนเพิ่มเพื่ออัพเกรด Jio ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ, เครือข่ายโทรคมนาคม, แพลตฟอ์มออนไลน์อื่น รวมไปถึงแผนพัฒนาต่อเพื่อขยายธุรกิจค้าปลีก
น่าสนใจคือ มีนักวิเคราะห์เคยพูดถึงรายได้ของบริษัทที่รวมทุกบริษัทในเครือของ Reliance Industries ซึ่งในเดือนมี.ค. 2021 ปิดรายได้ไปที่ 73,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในฐานะที่เป็นบริษัทเอกชนรายใหญ่ที่สุดในอินเดีย มองว่าการหันมาสู่ธุรกิจพลังงานทางเลือกจะทำให้มูลค่าธุรกิจพุ่งขึ้นไปอีกในปีนี้
ขณะเดียวกัน ความน่าดึงดูดบริษัทต่างชาติให้เข้ามาร่วมทำธุรกิจกับ Reliance Industries ก็จะมีมากขึ้น อย่างก่อนหน้านี้ที่ Facebook (Meta) ได้เข้าถือหุ้น 10% ในบริษัท Jio และ Netflix แพลตฟอร์มสตริมมิ่งอันดับ 1 ของโลกที่ตกลงเป็นพันธมิตรกับ Viacom18 หนึ่งในบริษัทในเครือที่เชี่ยวชาญในด้านการผลิตคอนเทนต์ ทั้งรายการโทรทัศน์ ซีรีส์ และภาพยนตร์
ดังนั้น โอกาสที่ในอนาคตจะเห็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทดแทนหากจะเข้ามาร่วมทำธุรกิจ หรือมีความร่วมมือในรูปแบบอื่นกับ Reliance Industries ก็คงไม่แปลกอะไร เพราะการร่วมมือทำธุรกิจกับบริษัทต่างชาติ (ที่ต้องเอื้อประโยชน์กับตลาดอินเดีย) ก็เป็นอีกหนึ่งทางถนัดทางธุรกิจของ Mukesh อยู่แล้ว
ที่มา: forbes