หลังจากตัวเลขผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไปทั่วโลก ส่งผลให้หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลยังคงมีความน่าสนใจ และสามารถสร้างผลกำไรได้อย่างสวยหรูมิใช่น้อย ในไตรมาส 4/2564 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะ บมจ.ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป หรือ THG และ บมจ. กรุงเทพดุสิตเวชการ หรือ BDMS
บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG ปีที่ผ่านมาถือเป็นปีที่บริษัทปรับตัวรับมือกับวิกฤตโควิด-19 ที่ส่งผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจและพฤติกรรมลูกค้าในกลุ่มธุรกิจเฮลท์แคร์ได้ดี โดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 10,848 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48.3% จากปี 2563 ซึ่งทำได้ 7,315 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรสุทธิเติบโตที่ 1,337 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,056.5% จากปี 2563 ที่ทำได้ 62 ล้านบาท และบริษัทมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผล ในอัตราหุ้นละ 0.50 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 423.73 ล้านบาท กำหนดจ่ายเงินวันที่ 27 พฤษภาคม 2565
สำหรับในปีนี้ บริษัทยังคงให้บริการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ครบวงจรทั้งการป้องกันและรักษา ให้บริการฉีดวัคซีนทางเลือกและวัคซีนจากภาครัฐ ดูแลคนไข้ใน Hospitel และโรงพยาบาลสนาม 3 แห่ง ส่วนโรงพยาบาลใหม่ที่ลงทุนช่วงที่ผ่านมาเริ่มมีผลประกอบการดีขึ้น
โดยเฉพาะโรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง เริ่มมีกำไรหลังปรับแผนดึงดูดกลุ่มลูกค้าคนไทยมากขึ้น โดยเพิ่มขีดความสามารถด้วยการเปิดศูนย์ wellness รวมถึงให้บริการห้องปฏิบัติการ (ห้องแล็บ) ดูแลสุขภาพผู้ป่วยหลังติดโควิด-19 ทั้งยังมีแผนขยายการลงทุนเกี่ยวกับโรงพยาบาลผู้สูงอายุเพิ่มเติม เพื่อรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของไทยอย่างสมบูรณ์ในปี 2565 และการแสวงหาโอกาสการร่วมทุน และซื้อกิจการ
นอกจากนี้ จะนำ Digital Platform เข้ามามีบทบาทในการตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ เช่น Telemedicine ที่จะพัฒนาให้ตอบสนองผู้ป่วยโรคเฉพาะทางมากขึ้น และอยู่ระหว่างศึกษาพัฒนา Health Blockchain สำหรับจัดเก็บข้อมูลสุขภาพคนไข้เชื่อมโยงอีโคซิสเต็มด้านสุขภาพ โดยปีนี้คาดจะได้เห็นความคืบหน้าใหม่ๆ ต่อเนื่อง
ขณะที่กลุ่มธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป หรือ THG มีความสนใจในด้านสินทรัพย์ดิจิทัล ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมด้านต่างๆเพื่อพัฒนาระบบรองรับการใช้โทเคน ประเภทต่างๆ ทั้ง อินเวสเมนต์ โทเคน และ ยูทิลิตี โทเคน พื่อนำมาแลกกับบริการด้านการแพทย์ต่างๆ เช่น การรับนัดจองคิวบริการทางการแพทย์ วอเชอร์บริการตรวจสุขภาพ ผ่านแอปพลิเคชันของ THG ได้ในอนาคต
ล่าสุด นายแพทย์ บุญ วนาสิน ประธานกรรมการบริษัทธนบุรี เฮลแคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG เข้าซื้อหุ้น THG เพิ่มในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ด้วยกัน 4 ครั้ง ได้แก่ วันที่ 2 กุมภาพันธ์ จำนวน 190,100 หุ้น เข้าซื้อหุ้นราคา 45.24 บาท มูลค่า 8,600,124 บาท วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2565 จำนวน 244,000 เข้าซื้อหุ้นราคา 42.40 บาท มูลค่า 10,345,600 บาท วันที่ 21 กุมภาพันธ์ จำนวน 212,100หุ้น เข้าซื้อหุ้นราคา 43.40 บาท มูลค่า 9,205,140 บาท และวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2565 จำนวน 1,850,000 หุ้น เข้าซื้อหุ้นราคา 41.75 บาท มูลค่า 77,237,500 บาท รวมเดือนกุมภาพันธ์ มีจำนวนหุ้นทั้งสิ้น 2,496,200 หุ้น หรือคิดเป็นมูลค่า 105,388,364 บาท
ขณะที่เดือนมีนาคม 2565 เข้าไปซื้อหุ้น THG เพิ่มอีก 2 ครั้งได้แก่ วันที่ 9 มีนาคม 2565 จำนวน 578,100 หุ้น เข้าซื้อราคา 55.72 บาท มูลค่า 32,211,732 บาท วันที่ 10 มีนาคม 2565 จำนวน 365,600 หุ้น เข้าซื้อหุ้นราคา 60.33 บาท มูลค่า 22,056,648 บาท และวันที่ 11 มีนาคม 2565 จำนวน 221,000 หุ้น เข้าซื้อหุ้นราคา 60.53 บาท มูลค่า 13,377,130 บาท รวมเดือนมีนาคม มีจำนวนหุ้น 1,164,700 หุ้น หรือคิดเป็นมูลค่า 67,645,510 บาท และเมื่อนำมารวมกัน 2 เดือน นายแพทย์บุญ จะมีหุ้นเพิ่มขึ้น 3,660,900 หุ้น ราคา หรือคิดเป็นมูลค่า 173,033,874 บาท (173.03 ล้านบาท)
ขณะที่ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS ในปีที่ผ่านมา มีกำไร 7,936.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากปี 2563 ที่มีกำไร 7,214.24 ล้านบาท ขณะที่รายได้จากการดำเนินงานในปี 2564 เท่ากับ 75,714 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% และผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ปี 2564 บริษัทและบริษัทย่อย มีรายได้จากการดำเนินงานรวม 21,878 ล้านบาท เติบโต 21% จากไตรมาส 4 ปี 2563 สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ผู้ป่วยชาวไทยจากจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/64 ขณะที่รายได้ผู้ป่วยชาวต่างชาติยังคงลดลงจากมาตรการจำกัดการเดินทางทั่วโลก และเตรียมปันผล 0.20 บาท ขึ้นเครื่องหมาย XD 9 มีนาคม 65 กำหนดจ่าย 29 เมษายน 2565 นี้
ล่าสุดแพทย์หญิงปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ ประธานกรรมการบริหาร และตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS ลูกสาวนายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ เจ้าของโรงพยาบาลกรุงเทพ หรือ BDMS เข้าซื้อหุ้นบิ๊กล็อต จากผู้เป็นพ่อ ในวันที่ 3 มีนาคม 2565 รวมจำนวน 239 ล้านหุ้น ราคา 24.60 บาทต่อหุ้น มูลค่ารวม 5,879,400,000 บาท (5.8 พันล้านบาท)
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า โรงพยาบาลเอกชนมีการแข่งขันกันค่อนข้างสูง โดยเฉพาะโรงพยาบาลที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ฉะนั้นแล้วหากนักลงทุนจะเลือกเข้าไปลงทุนต้องศึกษาภูมิหลังให้ดีเสียก่อนตัดสินใจเข้าไปลงทุน