หลังจากทั่วโลกต้องประสบกับโรคระบาดโควิด-19 มาเป็นเวลาร่วมเกือบ 2 ปี รวมถึงประเทศไทยด้วย พฤติกรรมของผู้คนก็เปลี่ยนแปลงไปหันมาสนใจใส่ใจรักสุขภาพกันมากยิ่งขึ้น เพราะเกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพต่อโรคอุบัติใหม่นั่นเอง จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ส่งผลให้ผู้คนหันมากินอาหารเสริมกันมากขึ้นด้วย จึงเป็นแรงผลักดันให้ตลาดผลิตภัณฑ์อาหารเสริมมีมูลค่าเติบโตแบบก้าวกระโดดอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารปีนี้ เพราะคนรุ่นใหม่และกลุ่มคนสูงอายุ สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงในช่วง1-2 ปีที่ผ่านมา
และเพื่อเป็นการยืนยันที่แน่ชัดขึ้นไปอีกจาก Euromonitor อ้างอิงข้อมูลภาพรวมตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของโลก ประเมินว่า ระหว่างช่วงปี 2564- 2569 ตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของโลกจะมีการเติบโต เพิ่มขึ้นไปอีก เฉลี่ยได้ที่ปีละ 5.3% หรือคิดเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้น 1.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และหากพิจารณาเป็นรายประเทศตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของไทยในช่วง 6 ปีข้างหน้านี้จะมีการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 5.1% ขณะที่ประเทศอินโดนีเซีย มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ 11% มาเลเซียเติบโตเฉลี่ยที่ 10.1% และเวียดนามมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ 9.8%
นอกจากนี้สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้ทำการสำรวจพบว่า คนไทย 45.39% เริ่มที่จะหันมาให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายทั้งกลางแจ้งหรือในร่ม เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ตลอดทั้งการรับประทานอาหารเสริมและวิตามิน รวมทั้งเข้ารับการปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแขนงต่าง ๆ มากขึ้น
ขณะที่ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics ศึกษาโครงสร้างรายได้และการแข่งขันของธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารเสริมของไทย พบว่า เป็นธุรกิจที่เติบโตต่อเนื่องและทำกำไรได้ค่อนข้างดี โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การเติบโตเฉลี่ย 10% ต่อปี และธุรกิจนนี้ยังสามารถทำอัตรากำไรขั้นต้น หรือ Gross Profit Margin ได้ค่อนข้างสูงประมาณ 40-50% ต่อรายได้ จากข้อมูลบริษัทที่ประกอบธุรกิจอาหารเสริมของไทยที่จดทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์ในปี 2560 พบว่า มีรายได้รวมอยู่ที่ 8.7 หมื่นล้านบาท มีผู้ประกอบการจำนวนกว่า 6,300 ราย โดยเจ้าตลาดเป็นของผู้ประกอบการรายใหญ่เพียง 10 ราย ซึ่งกินส่วนแบ่งตลาดไปแล้วกว่า 60%
จากเทรนด์สุขภาพที่ผู้คนหันมาใส่ใจการกันมากขึ้น จึงส่งผลให้แนวโน้มตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในสถานการณ์ในปัจจุบันที่มีการปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างเนื่อง บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF เป็น Clean Food Tech Company ได้จับมือกับบริษัท วินเนอร์ยี่ เมดิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ WINMED ผู้นำเข้าและจำหน่ายเครื่อง และชุดอุปกรณ์ สำหรับการเก็บ การตรวจวิเคราะห์ วินิจฉัย และการบำบัดรักษาทางการแพทย์ รุกตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแบรนด์ดังระดับโลก Wellpath และ Prime Labs ผลิตภัณฑ์กลุ่มบำรุง ฟื้นฟูและเสริมสุขภาพ ผ่านช่องทางจำหน่ายออฟไลน์และออนไลน์ครอบคลุมทั่วประเทศ
สำหรับการร่วมมือกันในครั้งนี้นับเป็นการเสริมแกร่งของกลุ่ม Food & Nutritional Supplement เพื่อการรองรับและขยายผลิตภัณฑ์ให้เข้าถึงผู้บริโภคให้ครอบคลุมทั่วโลก ที่ปัจจุบันมีความต้องการมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง การขยายผลิตภัณฑ์ให้เข้าถึงผู้บริโภคในประเทศไทย ซึ่ง NRF ได้ขยายผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ด้วยช่องทาง E-Commerce ในออนไลน์แพลตฟอร์มชั้นนำ อย่าง Amazon.com ผ่านการลงทุนจากบริษัทในเครือที่อยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยสินค้าเป็นแบรนด์ชั้นนำและเป็นที่นิยมในแพลตฟอร์มที่ขายดีระดับ Amazon Best Seller อาทิ แบรนด์ WellPath, แบรนด์ Prime Labs ได้ง่ายยิ่งขึ้น รวมถึงผลิตภัณฑ์ดังกล่าวนี้ครอบคลุมกลุ่มผู้บริโภคทั้งเพศหญิง เพศชาย รวมทั้งกลุ่มแม่และเด็กอีกด้วย
ทั้งนี้จากรายได้ใน Q1/2565 มีการเติบโตถึง 28% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน ผลการดำเนินงานในปี 2564 มีรายได้จากการขายรวม 2,100 ล้านบาท เติบโต 49.1% เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่มีรายได้จากการขายรวม 1,408 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 221 ล้านบาท และกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ 318 ล้านบาท เติบโต 78% และ 26.2% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่มีกำไรสุทธิ 124 ล้านบาท และกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ 252 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) อยู่ที่ 559 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 84.5%
ด้าน WINMED นับว่าเป็นองค์กรที่เชี่ยวชาญในเรื่องอุปกรณ์ และเทคโนโลยีด้านสุขภาพในประเทศไทย มีฐานลูกค้ากลุ่ม B2B ได้แก่ กลุ่มโรงพยาบาลภาครัฐ-เอกชน วิทยาลัยแพทย์ คลินิก ร้านขายยา และมีความแข็งแกร่งด้านช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลาย ด้วยกลยุทธ์ช่องทางการตลาดออนไลน์ ควบคู่การตลาดออฟไลน์ (OMNI Channel) สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้า B2C ครอบคลุมทั่วประเทศ อาทิ ร้านสะดวกซื้อ ไฮเปอร์มาร์เก็ต และช่องทางออนไลน์ได้แก่ เว็ปไซด์ Facebook Line@ รวมถึงแพลตฟอร์ม Shopee , Lazada
โดยผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2565 บริษัทมีรายได้รวม 157.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 118.96 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 32.07 % และมีกำไรสุทธิ 12.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 10.56 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 22.10% ทำให้การผนึกกำลังกันในครั้งนี้ เป็นการขยายตลาดด้านสุขภาพเพื่อความยั่งยืน พร้อมต่อยอดและเสริมแกร่งให้กับวงการอาหารเสริมและสุขภาพ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคได้อย่างครบวงจร
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทิศทางตลาดอาหารเสริมจะมาแรง ส่งผลให้หลาย ๆ บริษัทต่างออกผลิตภัณฑ์กันอย่างมากมาย แต่กลยุทธ์หลักในเรื่องของความน่าเชื่อถือ สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นสิ่งสำคัญต่อผู้บริโภคนั่นคือ เครื่องหมาย อย. ที่จะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่จะสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคได้ถึงความปลอดภัยที่จะได้รับด้วยเช่นกัน