เมื่อไม่นานนี้ ‘Fitbit’ ได้เผยโฉม สมาร์ทวอทช์ (Smart Watch) รุ่นใหม่อย่าง Fitbit Sense ที่มาพร้อมเทคโนโลยสุดล้ำ EDA (Electrodermal Activity) มาใช้บนสมาร์ทวอทช์เป็นครั้งแรกของโลก เพื่อเป็นตัวช่วยในการบริหารจัดการความเครียด
Fitbit Sense จะจัดเก็บข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับร่างกายที่ตอบสนองต่อความเครียด ด้วยเซ็นเซอร์ตรวจจับสัญญาณ EDA เพียงวางฝ่ามือลงบนหน้าปัดของเครื่อง เพื่อวัดระดับความเข้มข้นของเหงื่อบนผิว และเก็บข้อมูลความคืบหน้าด้านสุขภาพจิต พร้อมกับมีฟีเจอร์ Stress Management Score ทำให้สามารถติดตามระดับความเครียดของผู้ใช้ อ่านค่าจากระดับ 1-100 แสดงบนหน้าปัดนาฬิกา
โดยคะแนนสูง หมายถึง ภาวะร่างกายที่มีสัญญาณความเครียดน้อย หากคะแนนต่ำ จะมีฟีเจอร์ให้คำแนะนำในการจัดการความเครียด ไม่ว่าจะเป็นการฝึกหัดหายใจ , ทำสมาธิ รวมถึงติดตามผลความคืบหน้าการของสติที่ส่งผลต่ออารมณ์ของผู้สวมใส่
นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์ด้านสุขภาพและการออกกำลังกายที่สำคัญเหมือนฟิตบิทรุ่นอื่นๆ เช่น GPS และโหมดการออกกำลังกายกว่า 20 โหมด , ฟีเจอร์อัตโนมัติ SmartTrack® Cardio Fitness Level and Score และเครื่องมือตรวจวัดคุณภาพการนอน
รวมไปถึงฟีเจอร์ใหม่ เช่น ลำโพงและไมโครโฟนในตัวเพื่อให้สามารถตอบรับข้อความและออกคำสั่งจากเสียงผ่าน Amazon Alexa หรือ Google ซึ่งสำหรับในประเทศไทย Fitbit Sense จะวางจำหน่ายในราคา 11,990 บาท
ใช้ได้จริงหรือไม่ ยังเป็นประเด็น
หลายคนอาจสงสัยถึงการที่สมาร์ตวอชต์แต่ละแบรนด์พยายามแข่งขัน เพื่อเพิ่มเทคโนโลยีในเชิงการแพทย์เข้าไปว่า จะใช้ได้ดีหรือไม่ ทาง Adel Laoui ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง NeuTigers บริษัทด้านแมชชีนเลิร์นนิ่ง เชื่อว่า ความก้าวหน้าทางด้านแมชชีน เลิร์นนิ่ง และเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ จะช่วยให้สมาร์ทวอทช์สามารถวินิจฉัยโรคได้หลายพันโรคในอนาคต
ยกตัวอย่าง NeuTigers ที่อยู่ในแนวหน้าของงานวิจัยนี้ โดยได้พัฒนาข้อพิสูจน์งานวิจัยเชิงคลินิกเพื่อพิสูจน์ว่า แมชชีนเลิร์นนิ่งและเซ็นเซอร์สามารถใช้ในการวินิจฉัยโรคอย่างโรคเบาหวาน ซึมเศร้า จิตเภท และไบโพลาร์ได้จริง
อย่างไรก็ตาม Laoui ชี้ให้เห็นว่า แม้ NeuTigers จะใช้สมาร์ทวอทช์ที่พัฒนาร่วมกับ MIT ในระดับงานวิจัยได้สำเร็จก็จริง ขณะที่เซ็นเซอร์ EDA ของ Fitbit ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ทางการแพทย์
ที่มา : businessinsider