แม้ว่าในประเทศไทยสถานการณ์ COVID-19 จะดีขึ้นกว่าอีกหลายประเทศทั่วโลกอยู่มาก แต่กระแสการเลย์ออฟพนักงานจากหลายๆ บริษัทข้ามชาติ เรียกว่าทำให้พนักงานคนไทยร้อนๆ หนาวๆ ไม่น้อยเหมือนกัน
ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลแย่ต่อบริษัทขนาดเล็กเท่านั้น แต่ในธุรกิจลักชัวรีต่างๆ ก็เจ็บหนักไม่ต่างกัน ทั้งนี้ แบรนด์หรูในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง-สกินแคร์ที่หลายๆ คนเคยประเมินว่าอาจจะไม่ได้รับความเสียเท่ามากนัก การปลดพนักงานแบรนด์ล่าสุดอย่าง ‘Estee Lauder’ ย้ำคำตอบได้ดีว่า COVID-19 พ่นพิษใส่ทุกคนจริงๆ
Estee Lauder เครื่องสำอาง-สกินแคร์ในกลุ่มแบรนด์ไฮเอนด์ ประกาศปลดพนักงาน 3% หรือประมาณ 2,000 คนทั่วโลก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพนักงานในส่วนของ ‘พนักงานหน้าร้าน – ฝ่ายสนับสนุน’
ขณะเดียวกันมีการปรับกลยุทธ์ใหม่เพิ่มการดำเนินงานทางออนไลน์มากขึ้น รวมไปถึงเตรียมที่จะปิดร้านทั้งแบบ stand alone และในห้างสรรพสินค้าที่ทำกำไรน้อย 10-15% โดยให้เหตุผลว่า ยอดขายในช่องทางออนไลน์เพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ Fabrizio Freda, CEO of Estee Lauder ได้พูดว่า บริษัทกำลังจะเข้าสู่ปีงบประมาณใหม่ ดังนั้น กลยุทธ์ต้องวางอย่างรอบคอบ เพราะผลประกอบการโดยรวมปี 2019-2020 (ถึงวันที่ 30 มิ.ย.) ยอดขายลดลงราว 4%
อย่างไรก็ตาม โปรดักซ์ประเภทสกินแคร์ มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวเร็วขึ้น เร็วกว่าเครื่องสำอาง หรือธุรกิจแฟชั่นเครื่องแต่งกายอื่นๆ โดยช่วง 2-3 เดือนมานี้สินค้าที่ขายดีขึ้นของ Estee Lauder ได้แก่ ครีมบำรุงผิว, ครีมบำรุงรอบดวงตา และ มอยส์เจอร์ไรเซอร์
ขณะที่นักวิเคราะห์ของ Bloomberg Intelligence มองว่า การปรับกลยุทธ์เน้นความคล่องตัวมากขึ้นของอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง-สกินแคร์ รวมถึงแบรนด์ลักชัวรี่ Estee Lauder คิดว่าการเติบโตของแบรนด์จะกลับมาฟื้นตัวหลังจากนี้ 6-8%
ก่อนหน้านี้ แบรนด์ลักชัวรี่ที่ประกาศปลดพนักงานไปแล้ว เช่น Burberry, Prada, LVMH เป็นต้น
ที่มา : bnnbloomberg, forbes