เราทราบดีว่า อีคอมเมิร์ซ กำลังรุกคืบและกินส่วนแบ่งทางการตลาดออฟไลน์เพิ่มขึ้นทุกที ธุรกิจอีคอมเมิร์ซไทยก็เช่นเดียวกัน เพิ่มขึ้นทั้งรายเล็กรายใหญ่ โดยปัจจัยที่สำคัญที่จะผลักดันให้อีคอมเมิร์ซก้าวไปได้ไกลแบบก้าวกระโดดดีที่สุดคือเรื่องของระบบโลจิสติกส์ หรือระบบการขนส่งนั่นเอง ซึ่งพบว่ารัฐบาลไทยเองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้สูงมาก
ดังเช่น กิจกรรมเสวนาหัวข้อ “e-Commerce Shapes Logistics – อีคอมเมิร์ซเปลี่ยนโลกโลจิสติกส์” ภายในงาน Digital Thailand Big Bang 2017 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เราพบว่า ไปรษณีย์ไทย ให้การสนับสนุนผลักดันธุรกิจอีคอมเมิร์ซอย่างดีมากผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล สอดคล้องกับนโยบาย Thailand 4.0 ซึ่งในงานสัมนาครั้งนั้น ทำให้ได้ทราบว่าไปรษณีย์ไทยและธุรกิจอีคอมเมิร์ซไทยเติบโตและมีความรุดหน้าไปมากทีเดียว
ทั้งนี้ จากตัวเลขของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA เปิดเผยเมื่อวันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา เผยว่าจากการสำรวจกิจกรรมที่คนนิยมทำบนอินเทอร์เน็ต คอนซูเมอร์ไทยมีพฤติกรรมแตกต่างจากปีก่อนๆ โดยพบว่า ซื้อสินค้าออนไลน์ขึ้นมาติด 1 ใน 5 กิจกรรมยอดฮิตเป็นครั้งแรก นั่นแสดงให้เห็นถึงการยอมรับในการทำอีคอมเมิร์ซมากขึ้นในสังคมไทย
นอกจากนี้ พบว่าภาพรวมของธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้น โดยมีมูลค่ารวมประมาณ 2.8 ล้านล้านบาท ซึ่งมูลค่า E-Retail เป็นของธุรกิจในไทย 1% จากการคาดการณ์ในแต่ละภูมิภาคทั่วโลกเฉลี่ยอยู่ที่ 8.6% แสดงให้เห็นว่าธุรกิจ E-Retail ยังมีโอกาสขยายการเติบโตได้อีก
- มูลค่า E-Retail ของธุรกิจรีเทลล์ในไทย 1%
- มูลค่า E-Retail ของธุรกิจรีเทลล์ในสหรัฐฯ 8.1%
- มูลค่า E-Retail ของธุรกิจรีเทลล์ในจีน 14.9%
- ในขณะที่ค่ามาตรฐานเฉลี่ยทั่วโลกของ E-Retail อยู่ที่ 8.6%
- มูลค่า E-Commerce ทั้ง B2B และ B2C เพิ่มสูงขึ้นจากปีที่แล้ว 32.97%
- มูลค่า B2C ของ Top Enterprises จำนวน 100 บริษัท ในวงการค้าปลีกและค้าส่ง หมวดห้างสรรพสินค้าออนไลน์ มีมูลค่า 12,366.99 ล้านบาท
- มูลค่า B2C ของ SME ในวงการค้าปลีกและค้าส่ง หมวดห้างสรรพสินค้าออนไลน์ มีมูลค่า 107,011.79 ล้านบาท
ดร.รัฐศาสตร์ กรสูต หรือ ดร.เปปเปอร์ รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) กล่าวถึง ภาพรวมอีคอมเมิร์ซว่า ปัจจุบันธุรกิจอีคอมเมิร์ซไทยมีการเติบโตมากขึ้น และในขณะเดียวกันทางภาครัฐและเอกชนต้องพิจารณาถึงแนวทางในการส่งเสริมและผลักดันให้คนไทยหันมาซื้อของออนไลน์กับระบบอีคอมเมิร์ซมากขึ้น โดยจากการสำรวจ พบว่า สินค้าประเภทอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าแฟชั่นเสื้อผ้า เครื่องสำอาง เป็นสินค้า 2 อันดับแรกที่มีการซื้อขายผ่านระบบออนไลน์มากที่สุดและมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้น
ทั้งนี้ สิ่งที่ภาครัฐจะช่วยและส่งเสริมอีคอมเมิร์ซไปให้ไกลได้ ได้แก่ 1.ช่วยเพิ่มขีดความสามารถ ผ่านการใช้เทคโนโลยีทั้งในการซื้อขายและการทำธุรกิจ 2.การสร้างโอกาสไปสู่ตลาดที่ใหญ่มากขึ้นผ่านช่องทางดิจิทัล
ด้าน คุณพิษณุ วานิชผล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด หรือ ปณท เผยผลประกอบการตลาดขนส่งสินค้า e-Commerce ของ ปณท ครึ่งปีแรก 2560 พบว่ารายได้อยู่ที่ 10,687 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2559 ที่ 18% เป็นผลมาจากการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซในไทย และมั่นใจว่าครึ่งปีหลังรายได้เติบโตเกินเป้าหมาย 26,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ แม้การแข่งขันด้านโลจิสติกส์จะเพิ่มขึ้น มีบริษัทโลจิสติกส์เจ้าใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย นับเป็นความท้าทายของผู้ให้บริการที่จะต้องมุ่งมั่นพัฒนาบริการให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างดีที่สุด ซึ่งปัจจุบัน ปณท ยังครองส่วนแบ่งตลาดขนส่งสินค้า e-Commerce อยู่ถึง 55% จากมูลค่ารวมทั้งหมดกว่า 27,200 ล้านบาท โดยในพื้นที่ต่างจังหวัด ส่วนแบ่งตลาดของไปรษณีย์ไทยถือครองมากกว่า 70% ในขณะที่ในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลอยู่ที่ประมาณ 40%
บริการล้ำๆ จาก Prompt Post
และด้วยพฤติกรรมการส่งสินค้าของลูกค้าที่ต้องการความสะดวกและรวดเร็ว ไปรษณีย์ไทยได้จัดทัพบริการต่างๆ รองรับทุกความต้องการของผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซและนำระบบไอทีเข้ามาช่วยพัฒนาบริการให้มีประสิทธิภาพตอบทุกโจทย์การส่งของธุรกิจอีคอมเมิร์ซทั้งกลุ่ม C2C และ B2C อาทิ ระบบ Prompt Post ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า C2C สามารถทำการจ่าหน้าและสร้างบาร์โค้ดการฝากส่งจากระบบอัตโนมัติได้ด้วยตัวเอง รวมทั้งบริการพร้อมส่ง (กล่องสีฟ้า) ในราคาเหมาจ่ายทั่วประเทศที่ช่วยประหยัดเวลา ส่งได้ไม่ต้องรอคิว ด้วยช่องบริการพิเศษ (Fast Track) ณ ที่ทำการไปรษณีย์ 47 แห่งในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล
นอกจากนี้ในส่วนของ Prompt Post ยังมีแอปพลิเคชัน ที่จะช่วยติดตามสถานะการจัดส่งพัสดุได้ตลอด ไม่ต้องคอยเข้าเว็บแล้วกรอกรหัสตัวเลขหลายตัว และทำให้ไม่พลาดในการติดตามสินค้าด้วย ซึ่งในการจัดส่งแบบปกติที่ไม่ใช่แบบกล่องฟ้า ก็ยังสามารถใช้แอปพลิเคชัน Prompt Post ในการติดตามสินค้าได้เช่นกัน และเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซ ในอนาคต แอปฯ ดังกล่าว จะสามารถใช้การกดเรียกเจ้าหน้าที่มารับของได้โดยไม่ต้องขนไปที่สาขา ในกรณีที่มีพัสดุมากกว่า 20 กล่องขึ้นไป โดยที่หากมีมากกว่า 50 กล่องก็จะไม่คิดค่าบริการอีกด้วย
D-Packet อนาคตแห่งอีคอมเมิร์ซ
ส่วนลูกค้า B2C สามารถเลือกใช้บริการ D-Packet ซึ่งมีบริการเสริมหลายรูปแบบที่เหมาะกับธุรกิจ อาทิ Drop Off จุดรับฝากส่งสินค้า Pick Up Serviceบริการรับสินค้าถึงที่อยู่ผู้ส่ง รวมถึงบริการเก็บเงินปลายทาง COD ได้อย่างรวดเร็ว พร้อมกับที่ในอนาคตจะมีบริการ E-Wallet เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
พร้อมกันนี้ไปรษณีย์ไทยอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาแพลตฟอร์ม “ดิจิทัลชุมชน” เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการชุมชน และสินค้าโอทอป ให้มีพื้นที่ในการกระจายตลาดสู่โลกออนไลน์ ประกอบกับให้คนไทยสามารถเข้าถึงสินค้าชุมชนที่มีคุณภาพ ซึ่งระบบแพลตฟอร์มดังกล่าวสำเร็จไปแล้วกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2560 นี้
คุณสุทธิเกียรติ จันทรชัยโรจน์ เจ้าของระบบจองขนส่งออนไลน์ SHIPPOP.COM สตาร์ทอัพไทยผู้พัฒนาเว็บไซต์เปรียบเทียบราคาค่าให้บริการระบบขนส่ง กล่าวถึงปัญหาที่อีคอมเมิร์ซหลายรายประสบว่า ส่วนใหญ่ผู้ประกอบการจะไม่ค่อยทราบถึงบริการใหม่ๆ ที่ทางบริษัทขนส่งมี เช่น ไปรษณีย์ไทยตอนนี้มีก็มีบริการใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย เช่น ระบบ Prompt Post ระบบเหมาจ่ายที่ช่วยลดต้นทุนในการจัดส่งได้เยอะ หรือแม้แต่ D-Packet บริการรับฝากส่งของล่วงหน้า ซึ่งเราก็จะเป็นเสมือนคนกลางคอยให้ข้อมูลใหม่ๆ ให้กับผู้ค้า
นอกจากนี้ สิ่งที่ตนมองว่าจะช่วยทำให้อีคอมเมิร์ซไปได้ไกลด้วยระบบโลจิสติกส์ที่มีคุณภาพ หลักๆ ก็คือ การขนส่งจะต้องทำการจัดส่งรวดเร็ว มีคุณภาพไม่ทำให้สินค้าเสียหาย มีบริการรับฝาก 24 ชั่วโมงเลยจะดีมาก ส่วนในอนาคตตนมองว่า ระบบการแชร์โลเคชั่น จะช่วยให้ผู้ส่งสะดวกสบายมากขึ้นโดยไม่ต้องมาคอยกรอกที่อยู่ในการรับส่งสินค้า ก็จะช่วยประหยัดเวลาและเกิดความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
คุณฤทธิ เบญจฤทธิ์ อดีตนักกีฬาหมากล้อมระดับโลก ผู้ผันตัวเองมาเปิดธุรกิจส่วนตัว เจ้าของเพจ Princess Beauty กล่าวว่าจากการที่เริ่มธุรกิจได้ประมาณเกือบ 2 ปี ตนก็มองว่าสิ่งสำคัญที่ลูกค้าอยากได้มากที่สุดคือ ความรวดเร็วในการจัดส่ง และสินค้าถึงมือในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด ซึ่งเริ่มแรกก็ไว้วางใจในบริการของไปรษณีย์ไทยมาตลอด จนกระทั่งได้ทราบว่ามีบริการ Prompt Post ซึ่งเป็นบริการพร้อมส่งแบบเหมาจ่าย ซึ่งทำให้ช่วยควบคุมต้นทุน และลดค่าใช้จ่ายจากเดิมไปได้มากถึง 30-40% เลยทีเดียว ซึ่งสิ่งที่อยากจะให้ทางไปรษณีย์ไทยมีบริการเพิ่มเติมสำหรับอีคอมเมิร์ซก็คือ การพัฒนา E-Wallet ซึ่งคิดว่าจะช่วยทำให้เกิดความสะดวกรวดเร็วในการทำธุรกิจเพิ่มขึ้นได้มากทีเดียว
และด้วยระบบโลจิสติกส์ไทย 4.0 ที่ผลักดันโดย ไปรษณีย์ไทย ด้วยรูปแบบการให้บริการที่ทันสมัยล้ำหน้า ก็น่าจะเป็นโอกาสที่ผลักดันให้อีคอมเมิร์ซไทยเติบโตขยายการเติบโตได้ไม่ยาก
สอบถามข้อมูลบริการกล่องพร้อมส่ง จากระบบ Prompt Post ได้ที่ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจในประเทศ 0 2831 3731-2 หรือใช้บริการได้ที่ http://promptpost.thailandpost.co.th