e-Commerce ไทย ตลาดที่กำลังหอมหวาน กับกลยุทธ์หนุนคนไทยซื้อของออนไลน์

  • 2
  •  
  •  
  •  
  •  

ThinkstockPhotos-175730054

ตลาด e-Commerce ไทยในเวลานี้กำลังหอมหวาน มีผู้เล่นในตลาดทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่แข่งขันในตลาดอย่างคึกคัก มูลค่าตลาดรวมล่าสุดกว่า 4.2 หมื่นล้านบาทและมีอัตราเติบโต 20% ต่อปี ถือว่าอยู่ในระดับที่สูงมาก แต่ทุกค่ายให้ข้อมูลตรงกันว่า นี่เป็นตัวเลขสัดส่วนน้อยกว่า 1% ของมูลค่าตลาดค้าปลีกโดยรวม แสดงว่า โอกาสเติบโตยังมีอีกมหาศาล ลองมาดูสัดส่วนมูลค่าตลาดรวมของ e-Commerce ในแต่ละประเทศกัน

1. ไทย 1% ของตลาดค้าปลีก
2. จีน 10% ของตลาดค้าปลีก
3. สหราชอาณาจักร 13% ของตลาดค้าปลีก
4. สหรัฐอเมริกา 9% ของตลาดค้าปลีก

ทาง iTruemart.com หนึ่งในผู้ให้บริการ e-Commerce แบบ B2C คาดการณ์ว่าภายใน 5 ปีจากนี้ สัดส่วนมูลค่า e-Commerce ในไทยจะเพิ่มขึ้นเป็น 7-8% ของตลาดค้าปลีก นั่นแสดงว่าตอนนี้ 1% ที่ 4.2 หมื่นล้านบาท แปลว่าใน 5 ปี มีโอกาสขยายเป็น 2.8 แสนล้านบาท เนื่องจากเมื่อมีการเริ่มต้นใช้ e-Commerce อย่างแพร่หลายแล้ว การเติบโตจะเป็นไปแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะปัจจัยจาก Mobile

ยิ่งกว่านั้น ตลาดไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในประเทศไทยเท่านั้น เพราะ e-Commerce เปิดกว้างด้วยระบบอินเทอร์เน็ต ทำให้การรุกตลาดต่างประเทศไม่ใช่เรื่องยาก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) ลองไปดูปัจจัยที่ทำให้ภูมิภาคนี้น่าสนใจ

1. ประชากร 680 ล้านคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีก 100 ล้านคนภายใน 15 ปี
2. ประชากร อายุน้อยกว่า 30 ปี มีอัตราส่วนมากกว่า 50%
3. อัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเฉลี่ย 56% และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
4. การเติบโตของ GDP เฉลี่ย 6-8%

capture-20151103-172730

ปัจจัยหนุนคนไทยซื้อของออนไลน์

ปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท แอสเซนด์ กรุ๊ป จำกัด ผู้ให้บริการ iTruemart.com ให้ข้อมูลว่า ปัจจัยที่ทำให้คนไทยเริ่มซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น นอกจากความสะดวกสบาย ค้นหาสินค้าได้ง่าย คลิกจ่ายและรอรับสินค้า ยังมีปัจจัยในมุมของผู้ให้บริการที่สำคัญเช่นกัน โดยสามารถจำแนกออกมาเป็นข้อๆ ได้ดังนี้

1. ต้องสร้างความมั่นใจ ว่าผู้บริโภคจะได้รับสินค้าของแท้ และมีราคาที่ดี รวมถึงการเข้ามาที่เว็บไซต์ e-Commerce ต้องมีประสบการณ์ที่ดี หลายครั้งผู้บริโภคเดินห้างเพื่อความสนุกสนาน แต่เลือกซื้อผ่านทางออนไลน์ เพราะมีราคาที่ดีกว่า และบริการส่งฟรีถึงบ้าน ไม่ต้องขนกลับเอง

2. ระบบจัดส่ง (Logistics & Fulfillment) ต้องพร้อม คือมีตั้งแต่การ stock สินค้า การจัดส่งต้องรวดเร็ว ส่วนนี้ทำให้ผู้ให้บริการรายใหม่แข่งขันได้ยาก เพราะต้องใช้เงินลงทุนสูง ถ้า Scale ไม่ใหญ่มากพอจะมีต้นทุนบริหารจัดการที่สูงตามไปด้วย

3. ระบบรับชำระเงิน (Payment) ต้องมีความหลากหลาย ชำระผ่านบัตรเครดิต, จุดรับชำระเงิน, บัตรเงินสด, หรือชำระเงินปลายทาง เพื่อความสะดวกของผู้บริโภค

4. ต้องกล้าและต้องบ้า ไม่เสียดายธุรกิจเดิม กรณีนี้ ถ้าบริษัทไหนที่ทำธุรกิจค้าปลีกอยู่แล้ว จะขยายธุรกิจ e-Commerce ได้ลำบากกว่า เนื่องจากกลัวการแย่งตลาดกันเอง เช่น Walmart ที่ไม่สามารถทำ e-Commerce ขณะที่ Amazon ขยายตลาดได้มหาศาล

อีกมุมหนึ่งที่ e-Commerce จะเติบโตแบบมหาศาล คือ e-Commerce สามารถตอบโจทย์ pain point ให้กับแบรนด์ต่างๆ ได้ดีกว่า เช่น ที่ iTruemart มีการเก็บข้อมูลการซื้อของลูกค้า และแชร์ร่วมกับแบรนด์ ทำให้แบรนด์รู้จักลูกค้ามากขึ้น ทำตลาดได้ดีขึ้น เพราะหัวใของออนไลน์คือการวัดผลอยู่แล้ว ขณะที่การค้าปลีกแบบเดิมๆ ไม่มีข้อมูลในส่วนนี้เลย

ThinkstockPhotos-478704511

โซเชียล เน็ตเวิร์กช่องทางบูทยอดขาย

ถ้ามองในอดีตที่โลกออนไลน์อยู่บน Desktop คือการเข้าอินเทอร์เน็ตผ่านคอมพิวเตอร์ นั่นคือระบบ Search First คือเน้นเข้ากูเกิลเพื่อหาข้อมูล แต่ปัจจุบันโลกออนไลน์อยู่บน Mobile ทำให้ระบบเปลี่ยนเป็น Social First คือหยิบมือถือได้ เข้าโซเชียลก่อน ทั้ง Facebook, Line, IG เป็นต้น ดังนั้นผู้ประกอบการต้องใช้โซเชียลเป็นเครื่องมือในการสร้างยอดขาย

ดีเพช ทรีเวดี หัวหน้าฝ่ายค้าปลีกและอีคอมเมิร์ซ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งเฟซบุ๊ก กล่าวว่า คนไทยใช้งานเฟซบุ๊ก 34 ล้านราย ใช้ผ่าน Mobile คิดเป็น 94% หรือพูดง่ายๆ ว่า คนไทยเข้าเฟซบุ๊กผ่าน Mobile เป็นจำนวน 32 ล้านราย และก่อนจะซื้อสินค้าทาง e-Commerce ผู้บริโภคมักจะมีการเช็คข้อมูลผ่านโซเชียลก่อนเสมอ ดังนั้น แบรนด์ต่างๆ ต้องสร้าง Engagement กับออนไลน์และโซเชียลให้มากขึ้น

อภิศิลป์ ตรุงกานนท์ CTO ของเว็บไซต์พันทิพย์ เว็บบอร์ดโซเชียลที่มียอดผู้ใช้กว่า 4.5 ล้านรายต่อวัน กล่าวว่า การเชื่อมความสัมพันธ์กับลูกค้าผ่านทางออนไลน์ ต้องดูแลอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการ complain ผ่านทางโซเชียลทุกช่องทาง ต้องมีการตอบสนองอย่างทันท่วงที มีการแก้ไข เยียวยา เพื่อสร้างความเชื่อใจ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญ

capture-20151103-171723

ปรับตัวให้ทัน สร้าง Loyalty และยอดขาย

แม้จะมีประเด็นว่า ผู้ประกอบการที่มีค้าปลีกระบบเดิมมักจะทำระบบ e-Commerce ได้ไม่รุ่งเท่าไร แต่ เทสโก้ โลตัส ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า ชั้นวางสินค้าในห้างต่างๆ มีจำกัด ทำให้ห้างกลายเป็นข้อจำกัดในการขายสินค้า และถ้ายังฝืนแนวโน้มของโลก โดยการไม่ทำระบบ e-Commerce ผลคือจะเสียลูกค้าไปอย่างรวดเร็ว

วรรณา สวัสดิกุล ประธานกรรมการบริหารฝ่ายธุรกิจออนไลน์ เทสโก้ โลตัส บอกว่า เทสโก้ โลตัส เลือกนำเสนอสินค้าผ่านระบบออนไลน์ และร่วมมือกับ ลาซาด้า ประเทศไทย lazada.co.th นอกจากขายสินค้าผ่านออนไลน์แล้ว ยังจัดกิจกรรมไปพร้อมๆ กัน รวมระบบออนไลน์และ ออฟไลน์ เข้าด้วยกัน เพื่อให้ผู้บริโภครู้สึกถึงจุดร่วมของออนไลน์และออฟไลน์ เช่น กิจกรรม 11.11 ถึง 12.12 คือ มีการจัดโปรโมชั่นช่วงวันที่ 11 พ.ย. – 12 ธ.ค. ซึ่งเดิมจัดบน e-Commerce แต่ต้องดึงลงมาใช้ในห้างด้วย

และจากการเก็บข้อมูลที่ผ่านมา เทสโก้ โลตัส พบว่า ผู้บริโภคมี Loyalty สูงขึ้น นั่นคือ คนที่ซื้อสินค้าออนไลน์ มีแนวโน้มจะซื้อสินค้าที่ห้างเช่นเดิม นั่นคือ ไม่ได้มีการแย่งยอดขายกันเอง เพราะสุดท้ายยอดขายที่เกิดขึ้น คือ เทสโก้ โลตัส

อเล็กแซนดรอ บิสบินี ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร ลาซาด้า ประเทศไทย กล่าวว่า หัวใจสำคัญประการหนึ่งของ e-Commerce คือ ระบบจัดส่ง ทั้งการ delivery และ logistics ซึ่งระบบขนส่งที่ใหญ่ที่สุดของไทยคือ ไปรษณีย์ไทย นี่คือโอกาสทางธุรกิจของไปรษณีย์ แต่การจะรับมือการขนส่งที่จะขยายตัวอย่างมหาศาลตาม e-Commerce ไปรษณีย์ไทย ต้องพัฒนาระบบขนส่งโดยรวมให้ใหญ่ขึ้นโดยเร็ว

iTrueMart (5)_resized

iTruemart ประกาศอันดับ 1 ในไทย เตรียม 5,300 ล้านลงทุน 2016

iTruemart เตรียมงบ 5,300 ล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจในไทยและอีก 7 ประเทศในปีหน้า โดยระบุว่าปัจจุบัน iTruemart เป็นอันดับ 1 ในไทยแล้ว ด้วยยอดสั่งซื้อสินค้าเฉลี่ย 14,000 รายการต่อวัน (แบ่งเป็น iTruemart7,000 รายการ และ weloveshopping 7,000 รายการ) ดังนั้นการลงทุนในปีหน้า จะเป็นก้าวแรกที่พาให้ iTruemart ขึ้นเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคนี้

สืบสกล สกลสัตยาทร ผู้จัดการทั่วไป หน่วยงาน iTruemart.com บริษัท แอสเซนด์ คอมเมิร์ซ จำกัด บอกว่า iTruemart มีการวัดผลอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้เน้นที่ยอดคนเข้า แต่เน้นที่อัตราการซื้อสำเร็จอยู่ที่ 4.2%ถือว่าอยู่ในระดับที่สูง เมื่อเทียบกับตัวเลขเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งต่ำกว่า 2%ขณะที่มียอดการสั่งซื้อสินค้าเฉลี่ย 7,000 รายการต่อวัน โดยคิดเป็นรายได้กว่า 3,000 ล้านบาทต่อปี

ส่วน weloveshopping จะเป็นตลาดกลาง (Marketplace) ให้ผู้ประกอบการทั่วไปเข้ามาเปิดร้านขายของฟรีไม่เสียค่าเช่า โดยมียอดการสั่งซื้อสินค้าเฉลี่ย 7,000 รายการต่อวัน มียอดซื้อขายสินค้ามูลค่า 4,000 ล้านบาทต่อปี และ weloveshopping มีรายได้จากค่าเช่าบริการพรีเมี่ยมหลัก 10 ล้านบาท

ตอนนี้ทั้ง 2 ธุรกิจยังอยู่ในประเทศไทย แต่ปลายปีนี้มีแผนเปิดตลาดที่ประเทศฟิลิปปินส์ก่อน และปีหน้าจะขยายอีก 6 ประเทศในภูมิภาคนี้ โดยจะมีทั้งขยายเข้าไปทำธุรกิจเอง และจับมือกับพันธมิตรเพื่อเข้าทำตลาด เพื่อให้มีบริการที่ครอบคลุมทั้ง เว็บไซต์ ระบบชำระเงิน และการจัดส่ง

ปุณณมาศ CEO ของ แอสเซนด์ กล่าวทิ้งท้ายว่า iTruemart จะเป็นผู้ให้บริการที่สามารถแข่งขันกับผู้ให้บริการต่างประเทศได้ เช่น Lazada, Alibaba ด้วยประสบการณ์ และ Scale ของธุรกิจที่ใหญ่พอ สามารถทำต้นทุนให้ต่ำลงได้ และเชื่อว่าในอนาคต จะเหลือผู้เล่น 2-3 รายเท่านั้น ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดรายเล็กๆ จะอยู่ได้ลำบากมาก

มองไปรอบๆ ตัว ตอนนี้ผู้ให้บริการ e-Commerce มีอยู่ไม่น้อย คงต้องจับตาดูกันให้ดีใน 1-2 ปีนี้ใครจะอยู่ใครจะไป Scale ของธุรกิจจะเป็นคำตอบที่ดี

B

Copyright © MarketingOops.com


  • 2
  •  
  •  
  •  
  •