ในบรรดายุทธวิธีสร้างรายได้สู่ธุรกิจเว็บไซต์ การโฆษณาออนไลน์ (Online Advertising) ถือเป็นช่องทางหลักในการสร้างรายได้และผลกำไรให้กับธุรกิจเว็บไซต์ แต่จากสภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาและมีการคาดการณ์กันว่าจะลากยาวต่อเนื่องไปถึงปีหน้า หรืออาจจะเป็นปีเผาจริงด้วยซ้ำ ทำให้หลายคนมองว่าอาจจะกระทบกับตลาดโฆษณาออนไลน์ซึ่งเป็นสื่อใหม่ในตลาดตามไปด้วย
ในเรื่องนี้ นายปรเมศวร์ มินศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทบัณฑิต เซ็นเตอร์ จำกัด เจ้าของเว็บไซต์กระปุกดอทคอม (www.kapook.com) ชี้ว่า ตลาดรวมโฆษณาปีหน้าอาจจะกระทบ แต่ในแง่สื่อออนไลน์ไม่กระทบ และเชื่อว่ายังคงเติบโต เพราะเท่าที่พูดคุยกับทีมขาย และลูกค้า ส่วนใหญ่ยังยืนยันที่จะลงเม็ดเงินโฆษณาออนไลน์เหมือนเดิม เนื่องจากการโฆษณาเป็นงบลงทุนที่คาดหวังผล ซึ่งสื่อทีวีอาจจะทำไม่ได้ แต่สื่อออนไลน์เป็นทางเลือกทีดี
เขาย้ำด้วยว่า แม้หลายคนจะมองว่า ในยุคที่งบโฆษณาถูกหั่น สื่อออนไลน์มักจะเป็นสื่อแรกที่ถูกตัดเมื่อเทียบกับสื่อทีวี วิทยุ และหนังสือพิมพ์ แต่สำหรับเขาไม่คิดเช่นนั้น เหตุผลเพราะการจะเข้าถึงคนเป็นล้านด้วยงบประมาณที่ลดลงนั้น สื่อออนไลน์ยังคงเป็นคำตอบ และจากการพูดคุยกับลูกค้าก็ยังยืนยันการซื้อเหมือนเดิม
ในขณะที่นายต่อบุญ พ่วงมหา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอ็มเว็บ (ประเทศไทย) จำกัด มองว่า ตลาดโฆษณาออนไลน์ปีหน้ามีทั้งวิกฤตและโอกาส วิกฤติที่ว่าคือ จากสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันย่อมส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจปีหน้าตกต่ำ เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำ องค์กรธุรกิจต่างๆ ต้องหันมารัดเข็มขัดมากขึ้น และการลดค่าใช้จ่ายด้านการตลาดก็คือหนึ่งในแนวทางการรัดเข็มขัด เพราะฉะนั้นเมื่องบการทำตลาดถูกตัด เม็ดเงินโฆษณาออนไลน์ย่อมไม่มีการเติบโต
แต่ในวิกฤตก็ยังมีโอกาส เพราะมีองค์กรธุรกิจบางกลุ่มที่ระมัดระวังในการใช้เม็ดเงิน และเห็นความสำคัญกับการทำโฆษณาออนไลน์ เพราะมองว่าสามารถเข้าถึงและวัดผลได้จริงเมื่อเทียบกับสื่ออื่น
สอดคล้องกับนายวริษฐ์ ลิ้มทองกุล ผู้อำนวยการเว็บผู้จัดการ บริษัทแมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่มองว่า ตลาดโฆษณาออนไลน์ในปี 2552 ยังคงมีการเติบโต เนื่องจากคนยังเห็นความสำคัญและลงเม็ดเงินในโฆษณาออนไลน์ เพียงแต่ตัวเลขการเติบโตอาจจะไม่สูงเท่ากับปีที่ผ่านมาที่มีการเติบโต 100% โดยอัตราการเติบโตของตลาดโฆษณาออนไลน์ปีหน้าอาจจะอยู่ที่ 10% เท่านั้น
“ถึงเศรษฐกิจจะถดถอยแต่ยอดการใช้อินเทอร์เน็ตไม่ลด มีแต่เพิ่ม จะเห็นได้จากการใช้อี-คอมเมิร์ชของผู้คน เช่นการซื้อของผ่านอินเทอร์เน็ตมากขึ้น และบริโภคข่าวสารผ่านช่องทางอินเทอร์สูงขึ้น แต่ในแง่อารมณ์เจ้าของสินค้ายังไม่แน่ชัดว่ามองอย่างไร”
สอดคล้องกับมุมมองของนายทีปกร วุฒิพิทยามงคล บริษัทเอทเซทโต จำกัด เจ้าของเว็บไซต์ exteen.com ที่เชื่อว่า ถึงแม้สภาพเศรษฐกิจและการเมืองจะยังรุมเร้า แต่ปีหน้าตลาดโฆษณาออนไลน์ยังคงเติบโต เพียงแต่การเติบโตอาจจะไม่พุ่งพรวดเหมือนก่อนหน้านี้ที่มีการเติบโต 100% โดยมองว่าตลาดอาจจะเติบโตประมาณ 10-20% และเชื่อด้วยว่าสัดส่วนของโฆษณาออนไลน์ควรจะเพิ่มจาก 1% เป็น 2.5%
เขาบอกว่า ฟังดูเหมือนสวนทางกัน แต่ที่มองเช่นนั้น เพราะว่าโฆษณาออนไลน์เป็นสื่อที่ไม่ได้ใช้เม็ดเงินลงทุนสูงเมื่อเทียบกับสื่ออื่น อีกทั้งวัดผลได้ จึงควรจะมีบทบาทมากขึ้น โดยคาดว่าคอนซูเมอร์ โปรดักต์ เป็นกลุ่มสินค้าที่น่าจะหันมาใช้เม็ดเงินในโฆษณาออนไลน์มากขึ้นในปีหน้าจากเดิมที่มีจำนวนน้อย เนื่องจากส่วนใหญ่เห็นว่าสื่อออนไลน์ไม่มีความสัมพันธ์กับลูกค้าเป้าหมาย ทั้งๆ ที่ในต่างประเทศสินค้าในกลุ่มนี้ ทั้งสบู่ และเครื่องดื่มนิยมใช้กันจำนวนมาก
ฟากนายปรเมศร์ รัชไชยบุญ ประธานกิตติมศักดิ์ สมาคมโฆษณาธุรกิจแห่งประเทศไทย ชี้เช่นกันว่า ภาพรวมของตลาดโฆษณาออนไลน์ในปีหน้ามีโอกาสเติบโตสูงมากขึ้น เมื่อเทียบกับสื่อเก่าอย่างโทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์ เนื่องจากจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มสูงขึ้น และเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อด้วย อีกทั้งเป็นสื่อที่สามารถสื่อสารได้สองทาง เพราะฉะนั้นจึงเชื่อว่าสื่อออนไลน์ปีหน้าจะไม่ใช่สื่อเสริม แต่เป็นสื่อหลัก
แต่ปัญหาคือ เจ้าของเว็บไวต์ปัจจุบันยังไม่รู้ช่องทางในการทำตลาดและการขาย ส่วนใหญ่ยังมองแค่ขายแบนเนอร์อย่างเดียว จึงทำให้ธุรกิจเว็บไซต์ที่ผ่านมาไม่ค่อยเติบโต โดยแนะว่าเจ้าของเว็บจะต้องมองให้เป็น Marketing Program หรือคิดเป็นแพคเก็จ (Total Solution) ในการทำตลาด จึงจะผลักดันให้ตลาดขยายการเติบโตได้มากขึ้น และหากทำได้จะเป็นสื่อที่น่าสนใจอย่างมากในปีหน้า
เช่นกับนายศิวัตร เชาวรียวงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเอ็มอินเตอร์แอคชั่น จำกัด หนึ่งในมีเดียเอเยนซี่ด้านสื่อออนไลน์ชั้นนำของเมืองไทย ที่มองตรงกันว่า ภาพรวมตลาดสื่อออนไลน์ปีหน้ายังมีอัตราการเติบโตอยู่ใน 2 หลัก โดยเป็นผลมาจากฐานการใช้สื่อดิจิตอลยังมีขนาดเล็ก จึงยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก ส่วนประเด็นของเศรษฐกิจและการเมืองนั้นน่าจะมีผลต่อการเติบโตของงบโฆษณาโดยรวม แต่ไม่กระทบกับสื่อออนไลน์ เพราะยังเป็นส่วนเล็ก อีกอย่างสื่อออนไลน์เป็นสื่อเหมาะกับเศรษฐกิจขาลง เพราะให้ประโยชน์วัดผลได้ และนำไปสู่การติดสินใจซื้อของผู้บริโภคได้
“อาจจะมีบางองค์กรเลือกที่จะตัดสื่อออนไลน์ออกไป แต่เท่าที่ประเมินจะเป็นองค์กรที่ยังไม่มีความเข้าใจในสื่ออินเทอร์เน็ตมากนัก และมีการใช้จ่ายเม็ดเงินในสื่อประเภทนี้น้อยอยู่แล้ว แต่ถ้าพูดถึงแบรนด์และนักการตลาดที่คุ้นเคยกับสื่อดิจิตอล จะไม่ตัดสื่อนี้เด็ดขาด โดยเราเพิ่งได้รับการยืนยันจากลูกค้าว่าปีหน้าจะไม่ตัดสื่อนี้อย่างแน่นอน”
เป็นคำยืนยันของผู้คลุกคลีในแวดวงสื่อออนไลน์ถึงการใช้เม็ดเงินสื่อออนไลน์ของบรรดาธุรกิจในปีหน้า พร้อมกับเสริมด้วยว่า นอกจากตลาดยังมีการเติบโตต่อเนื่องแล้ว ยังมีความเป็นไปได้สูงที่สัดส่วนของตลาดโฆษณาออนไลน์จากเพิ่มจาก 1% เป็น 2% หากไม่มีปัจจัยลบมากระทบ เนื่องจากบรอดแบนด์บ้านเราก็มีการเติบโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
Source: Business Thai