ปังย่า จ่ายค่ายอินินทรีเปิดตัวทำตลาดในเมืองไทยมาแล้ว 4 ปี โดยวาง positioning เป็น Online Casual Game ซึ่งเป็นเกมง่ายและใช้เวลาสั้นๆ ไม่มีความรุนแรง ที่สามารถเจาะกลุ่มนักเรียน นักศึกษา กลุ่มวัยทำงาน และได้ขยายตัวไปในกลุ่มของครอบครัวเพิ่มมากขึ้น
ปัจจุบันมูลค่าเกมออนไลน์อยู่ที่ 1,500 ล้านบาท อินินทรีให้บริการเกมออนไลน์ทั้งหมด 5 เกม มีสมาชิก 6 ล้านคน และ active ในการเล่นมากกว่า 80%”
เห็นตัวเลขแบบนี้แล้ว คงไมี่แปลกที่เหล่าเกมออนไลน์จะหันเข้าสู่ธุรกิจโฆษณาคู่ขนานไปกับการขาน items
แม้รายได้ส่วนใหญ่ของปังย่าจะมาจากการขายไอเท็มต่างๆ ใน Item Mall ไม่ว่าจะเป็น ไม้กอล์ฟ ลูกกอล์ฟ ลูกกวาดเพิ่มพลังและเสื้อผ้าแฟชั่นคอลเล็กชั่นต่างๆ ที่มาพร้อมกับเทศกาลสามารถสร้างรายได้ให้เป็นกอบเป็นกำได้ ปังย่า เริ่มเห็นช่องทางรายได้จากการขายโฆษณา เพราะการมีภาพของแบรนด์อยู่ในเกมสามารถตอบโจทย์ให้กับเจ้าของสินค้าได้ ที่ผ่านมา
คุณภัทธีรา ผู้บริหารของอินินทรี ระบุว่า ลักษณะการโฆษณาเป็นแบบ Tie-in ในเกมโดยมีตำแหน่งที่เห็นได้ชัดแต่ไม่เกะกะสายตาของผู้เล่นเกม หรือเป็นการสอดแทรกทำให้มองเห็นแบบไม่รู้สึกขัดขืน ไม่ว่าจะอยู่ในตัวอาคาร หรือป้ายประกาศที่อยู่กลางสนาม
“เป็นช่องทางหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างการรับรู้ของแบรนด์ผ่านเกมออนไลน์ โดยนำแบรนด์เข้าไปอยู่ในส่วนหนึ่งของเกม ไม่ว่าจะเป็นสปอนเซอร์ การซื้อโฆษณา หรือการ Create เกมขึ้นมาใหม่ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสินค้าให้ user เล่นเกม ซึ่งพฤติกรรมของผู้เล่นเกมนั้นจะมีสมาธิจดจ้องอยู่กับหน้าจอมากเวลาเล่นเกม และใช้เวลาเฉลี่ยเล่นเกมวันละ1-5 ชั่วโมงเลยทีเดียว” ภัทธีรา อธิบายถึงพฤติกรรมของผู้เล่นเกม
แต่ ภัทธีรา ยอมรับว่าบริษัทอยู่ในช่วงปรับปรุงทีมขาย จึงทำให้รายได้จากการขายโฆษณาในเกมลดลง และกระบวนการในการ Tie-in โฆษณานั้นต้องส่งไปยังบริษัทแม่ที่เกาหลี โดยใช้ระยะเวลา 1 เดือน
ทำให้ ปังย่าหันมาใช้กลยุทธ์ Co-partner ทำโปรโมชั่นผ่านหน้าเว็บไซต์ของบริษัทก่อนเพื่อกระตุ้นให้ผู้เล่นสนใจ เช่นการเติมเงินผ่านระบบเอ็มเปย์ ของเอไอเอส หรือบัตรสมาร์ทเพิร์ท
เมื่อคู่แข่งอย่างเอเชีย ซอฟต์ เริ่มปรับตัวหารายได้จากการขายโฆษณาเหมือนกัน ทำให้ อินินทรีไม่อยู่นิ่ง เร่งหาลูกค้าในขณะที่กำลังปรับปรุงองค์กร ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างดีลกับลูกค้าอีก 4-5 ราย และ “ภัทธีรา” เชื่อว่าปี 2552 แนวโน้มของโฆษณาในเกมออนไลน์จะมีการเติบโตมากถึง 50%
