เจาะเบื้องลึก ‘เดนทิสเต้’ คว้า ‘ลิซ่า Blackpink’ เป็น Brand Ambassador เหตุผลไม่ใช่แค่ ‘ดัง’ แต่เพราะตอบทุกโจทย์ของแบรนด์

  • 1
  •  
  •  
  •  
  •  

เรียกได้ว่า เป็นเสือปืนไวและสร้างเซอร์ไพร์สไม่น้อย สำหรับ ‘เดนทิสเต้’ (DENTISTE’) ที่สามารถคว้า ‘ลลิษา มโนบาล’ หรือ ‘ลิซ่า Blackpink’ ซึ่งตอนนี้กำลังร้อนแรงหลังจากปล่อยอัลบั้มเดี่ยวแรกมาไม่นาน มารับหน้าที่ Brand Ambassador  ผลิตภัณฑ์ตัวใหม่เพื่อเจาะกลุ่ม Gen Y และ Gen Z

หลายคนอาจมองว่า เรื่องนี้ไม่เห็นจะแปลกอะไร เพราะอย่างที่ทราบกันดี ‘ลิซ่า’ เป็นคนดังติดอันดับโลกและตอนนี้กระแสกำลังฮอตเป็นอย่างมาก แต่ ‘เภสัชกร ดร.แสงสุข พิทยานุกุล’ กรรมการผู้จัดการ ผู้นำเข้าและผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากระดับพรีเมียม ‘เดนทิสเต้’ ที่เคยเกริ่นถึงการทาบทามลิซ่ามาร่วมงานตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมาบอกว่า การตัดสินใจครั้งนี้มีเหตุผลมากกว่านั้น

“เมื่อก่อนคนจะซื้อของด้วยอารมณ์ 70% อีก 30% มาจากเหตุผล ทว่าปัจจุบัน 99% คนใช้อารมณ์มาเป็นตัวตัดสินใจซื้อเป็นหลัก ดังนั้นหากแบรนด์มีคนสื่อสารได้ตรงใจและโดนใจเท่ากับประสบความสำเร็จไปเกินครึ่งแล้ว นั่นเป็นเหตุผลที่เราเลือกลิซ่ามาทำหน้าที่นี้ จากที่ผ่าน ๆ มาจะเป็นคู่รักเป็นส่วนใหญ่”

หากลงลึกไปในรายละเอียด หลัก ๆ มาจาก Beauty & Confident Smile ของลิซ่าที่มีฟันสวย มีรอยยิ้มน่ารักมั่นใจ ซึ่งถือเป็นแบรนด์อิมเมจที่ดีและตรงกับแบรนด์เดนทิสเต้เป็นอย่างมาก

“47% ของคนเวลาดูโฆษณาเพื่อตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปาก จะดูรอยยิ้มของพรีเซนเตอร์ และมีทันตแพทย์ที่สนิทกับผมแนะนำว่า ถ้าอยากได้คนที่นำเสนอและสื่อสารแบรนด์ได้เป็นอย่างดี ต้องเป็นลิซ่า เพราะฟันสวยมาก มีรอยยิ้มน่ารัก มีความมั่นใจเวลายิ้ม การได้ลิซ่ามาร่วมงานในครั้งนี้ เดนทิสเต้ตั้งเป้าหมายจะเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด 3% โดยมุ่งเจาะกลุ่มลูกค้า GEN Z และ GEN Y ให้ได้มากที่สุด เพราะเป็นกลุ่มที่ควรได้รับการเคลือบฟลูออไรด์เพื่อป้องกัน ฟันผุ จากปัจจุบันกลุ่มลูกค้าหลักของแบรนด์ เป็นกลุ่ม GEN X และ GEN Y ต้น ๆ”

อย่างไรก็ตาม การจะได้ลิซ่ามาเป็น Brand Ambassador ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะ YG Entertainment  ใส่ใจและพิถีพิถันมากในการเลือกผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับศิลปิน ซึ่งด้วยคุณภาพของสินค้า ความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ที่ดีของเดนทิสเต้ บวกกับลิซ่าเคยใช้ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์มาก่อน และสนใจอยากเป็น Brand Ambassador ทุกอย่างจึงลงตัว

ต่อยอด Global Brand + ออก Lisa Edition เพิ่มพลังการตลาด

นอกจากมีอิมเมจดีและตรงกับความต้องการของเดนทิสเต้แล้ว อีกประเด็นที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ หากเปรียบ ‘ลิซ่า’ เป็นแบรนด์ก็เป็นแบรนด์ดังระดับโลก บัญชี IG ของลิซ่า (lalalalisa_m) ตอนนี้มียอดผู้ติดตามถึง 59.5 ล้านฟอลโลเวอร์ รวมถึงลิซ่าเอง ยังเป็น Global Brand Ambassador และพรีเซ็นเตอร์ให้กับแบรนด์ดังระดับโลกหลายแบรนด์

และเมื่อปล่อยอัลบั้มเดี่ยวชุดแรก ก็สามารถสร้างกระแสหลังจากปล่อยภาพออกมาเพียงไม่นาน อาทิ แฮชแท็ก #SoloistLisa ติดเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับ 1 ของโลกและติดอันดับ 1 ใน 7 ประเทศทั่วโลก , MV ‘LALISA’ ของ ลิซ่าเป็นเอ็มวีของศิลปินเดี่ยวที่มียอดวิวทะลุ 100 ล้านวิวเร็วที่สุดในโลก ฯลฯ

ดังนั้นการได้ลิซ่า มาเป็น Brand Ambassador  ครั้งนี้ ล้วนเป็นโอกาสที่ดีมากของเดนทิสเต้ในการจะตอกย้ำการเป็น Global Brand และต่อยอดการขยายเข้าสู่ตลาดในประเทศใหม่ ๆ อย่างเช่น ประเทศในยุโรปและสหรัฐอมริกา จากปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของเดนทิสเต้ ได้มีวางจำหน่ายในกว่า 25 ประเทศทั่วโลก อาทิ ไทย สิงคโปร์ ไต้หวัน เกาหลีใต้ ฯลฯ

“ตอนนี้ในสัญญาระบุไว้ว่า ลิซ่า จะเป็น Brand Ambassador  ให้เราเฉพาะในไทยเท่านั้น ส่วนประเทศอื่น ๆ เราอยู่ในขั้นตอนดำเนินการ”

นอกจากหนังโฆษณาชุด LISA Confident Smile แล้ว ยังมีการทำ Lisa Edition เพื่อดึงความสนใจของลูกค้าและเพิ่มพลังทางการตลาดให้มากกว่าเดิม ได้แก่

-Dentiste Confident smile เป็น ลิมิเต็ด อิดิชั่น จำนวน 25,000 ชุด ซึ่งความพิเศษคือทุกชุดจะได้รับ ‘สแตนดี้อะคริลิกรูปลิซ่า’

-แปรงคอลเลคชั่น Black&Pink ที่จะมี 2 สี นั่นคือ สีดำและสีชมพู

ตามสัญญาระบุว่า ลิซ่าจะต้องมาเปิดตัวหรือทำกิจกรรมร่วมกับแบรนด์ที่ประเทศไทยในช่วงเดือนพฤษภาคม หรือมิถุนายน 2565 แต่หากสถานการณ์โควิด-19 ยังไม่ดีขึ้น อาจเปลี่ยนรูปแบบเป็น virtual event

อย่างที่บอกไปตั้งแต่ต้นการดึงลิซ่า มาเป็น Brand Ambassador  ทางเดนทิสเต้ต้องการเจาะกลุ่ม Gen Y และ Gen Z และหวังผลเพื่อขยายมาร์เก็ตแชร์ของตัวเองประมาณ 3% โดย ปัจจุบันภาพรวมผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลช่องปาก หรือออรัลแคร์ในไทยมีมูลค่าราว ๆ 20,000 ล้านบาท เติบโตประมาณ 5% ต่อปี โดยกลุ่มยาสีฟันระดับพรีเมียมมีมาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ 20% ของตลาดรวม ขณะที่เดนทิสเต้มีมาร์เก็ตแชร์ 40% ในตลาดยาสีฟันระดับพรีเมียม

 


  • 1
  •  
  •  
  •  
  •