ทุกวันนี้ “โลกธุรกิจ” คงมองเห็นไปในทางเดียวกันแล้วว่าการจะทำธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนได้นั้นการสร้าง “ผลกำไร” ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดอีกต่อไป เพราะปัจจุบันผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในกระบวนการผลิตสินค้าบริการ ตั้งแต่ นักลงทุน ซัพพลายเอร์ เวนเดอร์ แบรนด์ คู่ค้า จนถึงผู้บริโภคต่างให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับ ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น และเลือกที่จะร่วมงานหรือซื้อสินค้ากับแบรนด์ที่สร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับโลกและสังคมมากกว่า และแบรนด์ที่ทำได้ก็จะสามารถเป็น Top of Mind และสร้างการเติบโตในระยะยาวให้กับธุรกิจ (Sustainability Growth) ได้ต่อไป
บทความนี้ Marketing Oops! ได้คัดเอาแบรนด์ระดับโลก 5 แบรนด์ที่ทำ “CSR” (Corporate Social Responsibility) อย่างจริงจังมีความรับผิดชอบต่อชุมชนสังคมและสิ่งแวดล้อมที่มีผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม เป็นกรณีศึกษาที่แบรนด์และคนทำธุรกิจสามารถนำไปปรับใช้ได้ต่อไป
Nike กับการสร้างอิมแพ็กต์ People, Play และ Planet
หากพูดถึงแบรนด์ระดับโลก Nike ต้องเป็นแบรนด์ที่อยู่ในลิสต์ของทุกคนอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยสิ่งที่ Nike ทำในแง่ธุรกิจสามารถสร้างผลกระทบในวงกว้างกับโลกใบนี้อย่างมหาศาลในฐานะแบรนด์เสื้อผ้าที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก โดยในไตรมาส 3 ที่ผ่านมาทำรายได้มากถึง 12,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีพนักงานทั่วโลกเกือบ 80,000 คน สินค้าผลิตโดยแรงงานมากกว่า 1 ล้านคนจากโรงงาน 500 แห่งทั่วโลก หรือหากย้อนไปในปี 2016 Nike ขายรองเท้าได้ถึง 25 คู่ในทุกๆวินาที
ภาพจาก : FY22 NIKE, Inc. Impact Report
ความใหญ่โตของ Nike ทำให้ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสังคมก็ใหญ่โตตามไปด้วยนั่นเป็นเหตุผลให้ Nike ให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบโดย Nike เน้นไปที่ 3 เรื่องราวนั่นคือ People, Play และ Planet เริ่มต้นด้วยเรื่องของ People นั้น Nike เน้นไปที่เรื่องของ “ความเท่าเทียมทางเพศ” โดยในปัจจุบันสัดส่วนผู้หญิงที่ทำงานกับ Nike อยู่ที่ 51% และเน้นเงินลงทุนกับ Supplier อย่างหลากหลายโดยเฉพาะธุรกิจที่มีผู้หญิงเป็นเจ้าของ
ในส่วนของ Play นั้น Nike มีโครงการร่วมกับพาร์ตเนอร์สนับสนุนให้เด็กผู้หญิงเข้าถึงกีฬา375,000 คน, สนับสนุนทรัพยากรเช่นความรู้และอุปกรณ์ให้โค้ช 17,000 คนสร้างประสบการณ์ด้านกีฬาที่เท่าเทียมให้กับเด็กๆ นอกจากนี้ยังใส่เงินลงทุน 149 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนชุมชนทั่วโลก โดยเน้นที่ผู้หญิงเด็ก และชุมชนผิวสี
ภาพจาก : FY22 NIKE, Inc. Impact Report
นอกจากนี้ Nike ยังให้ความสำคัญกับ Planet ที่เป็นนโยบายที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมด้วยเช่นการปรับเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาดในอาคารสำนักงานของ Nike ได้แล้วถึง 93% สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกระหว่างปี 2021-2022 ได้ 40% โดยหากนับจากปี 2020 ก็สามารถลดไปได้แล้ว 64% นอกจากนี้ยังมีนโยบายผลิตสินค้าจากวัสดุเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมลดปล่อยคาร์บอนลง ลดขยะอุตสาหกรรมลงได้ 97% แล้วด้วยเช่นกัน
Coca-Cola : People matter – ยกระดับชีวิตผู้คนทั้งในและนอกองค์กร
รู้หรือไม่ว่าคำว่า Coca-Cola หรือ “โค้ก” เป็นคำศัพท์ที่คนรู้จักมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกไม่ว่าจะเป็นภาษาไหนในโลกนี้ก็ตาม นั่นเป็นเพราะ Coca-Cola เข้าไปดำเนินธุรกิจในมากกว่า 200 ประเทศและดินแดนทั่วโลก มีพนักงานที่ทำงานให้กับบริษัทมากถึง 86,200คน สามารถทำรายได้มูลค่ามหาศาลถึงมากกว่าปีละ 44,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าธุรกิจของ Coca-Cola จะสร้าง Impact กับโลกนี้มากแค่ไหน จึงนำมาสู่นโยบายหลากหลายที่ทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น
โครงการที่ Coca-Cola ให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือการยกระดับคุณภาพชีวิตผู้คนผ่าน “การเข้าถึงน้ำดื่มที่สะอาดและปลอดภัย” โดยนับตั้งแต่ปี 2010 ที่ผ่านมา Coca-Cola ช่วยให้ผู้คนทั่วโลกเข้าถึงน้ำดื่มที่สะอาดปลอดภัยถูกสุขลักษณะแล้วมากกว่า 18.5 ล้านคนนอกจากนี้ยังตั้งเป้าหมายที่จะทำให้ได้ในปี 2030 ไว้ไม่ว่าจะเป็นการบรรลุเป้าหมายใช้น้ำหมุนเวียนแบบ 100% ใน “Leadership Location” 175 แห่ง, ทำงานร่วมกับพันธมิตรพัฒนาแหล่งน้ำที่มีสภาพวิกฤต 60 แห่งที่ใช้ในกระบวนการผลิตและแหล่งเกษตรกรรมตลอดsupply chain ภายในปี 2030 , เป้าคืนน้ำ 2 ล้านล้านลิตรกลับสู่ธรรมชาติและชุมชนทั่วโลกระหว่างปี 2021-2030 รวมถึงการตั้งเป้า net-zero water impact ในกระบวนการผลิตภายในปี 2030
นอกจากนี้ Coca-Cola ยังให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมทางเพศด้วยการทำโครงการให้ความรู้และฝึกอบรมธุรกิจให้กับผู้หญิงไปแล้วมากกว่า 6 ล้าน คนใน 100 ประเทศทั่วโลก สร้างโอกาสการเข้าถึงงานที่เท่าเทียมสนับสนุนกลุ่มคนที่มีความหลากหลายให้เข้าทำงานกับพาร์ตเนอร์ได้แล้วมากกว่า 700,000 คน
ภาพจาก : Coca-Cola
ในส่วนของเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม Coca-Cola ตั้งเป้าการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์หรือ Net Zero ในปี 2040 ด้วยการใช้เทคโนโลยีการผลิตขวดจากพลาสติกรีไซเคิล, ตั้งเป้าเก็บและรีไซเคิลขวดและกระป๋องในจำนวนเท่ากับที่ขายภายไปในปี 2030รวมไปถึงการลงทุนศึกษาวิจัยในเทคโนโลยีใหม่ๆอย่างการผลิตฝาพลาสติกจาก CO2 ที่กักเก็บมาได้ เป็นต้น
Alibaba กับเทคโนโลยีเพื่อโลกและสังคม
Alibaba บริษัทอีคอมเมิร์ซ ค้าปลีก และเทคโนโลยีจากประเทศจีนที่ยืนอยู่ในเวทีระดับโลกอย่างไม่ต้องสงสัยมีรายได้ในปี 2023 ทะลุ 126,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และแน่นอนว่าบริษัทจากแดนมังกรแห่งนี้ก็มีนโยบายทำธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบด้วยเช่นกัน โดยจากรายงานสิ่งแวดล้อม, สังคม และธรรมาภิบาล(ESG) ล่าสุด ก็มีรายละเอียดเกี่ยวกับการลดการปล่อยคาร์บอน สาเหตุสำคัญของวิกฤต Climate Change ตลอด Value Chain ขององค์กรที่ในปีล่าสุดนี้สามารถลดการปล่อยคาร์บอนตลอด Ecosystem ขององค์กรรวมแล้วเทียบเท่ากับ CO2 ปริมาณมากถึง 22.5 ล้านตัน
สัดส่วนการใช้พลังงานสะอาดของ Alibaba ในเครือข่ายเทคโนโลยีดิจิทัลของ Alibaba ในปีนี้เพิ่มสูงขึ้นจาก 21.6% ในปีก่อนเป็น 53.9% ในปีนี้ ในขณะที่ Alibaba Cloud ช่วยลูกค้าลดการปล่อยก๊าซ CO2 ลงได้ถึง 6.8 ล้านตันจากการเปลี่ยนจาก Data Center ในพื้นที่มาเป็นระบบ Cloud ของ Alibaba โดยเฉพาะระบบ Energy Expert ที่เข้าไปช่วยบริษัทจำนวน 2,580 แห่งทั่วโลกในการสังเกตการณ์ วิเคราะห์การปล่อยคาร์บอนของ
องค์กร ในขณะที่บริษัท Cainiao บริษัทลูกที่รับผิดชอบด้านการขนส่งทำแคมเปญสนับสนุนการใช้กล่องเก่าในการส่งของสามารถลดการใช้กล่องลงไปได้มากถึง 184,000 ตัน
นอกจากเรื่องของสิ่งแวดล้อมแล้ว Alibaba ยังใช้เทคโนโลยีที่มีทำเพื่อสังคม เช่นการพัฒนาระบบคัดกรองโรค “อัลไซเมอร์” ที่ผู้สูงอายุได้ใช้แล้ว 118,746 คน มีโครงการ Cloud Youth ที่ใช้เทคโนโลยี Cloud ของ Alibaba สนับสนุนครูและนักเรียนมากกว่า 60,000 คนใน 102 โรงเรียน มีระบบนำทางสำหรับรถวีลแชร์ Amap ที่มีผู้พิการใช้งานแล้วมากกว่า 900,000 ครั้ง ในขณะที่แอป E-Commerce อย่าง Taobao และ Tmall ให้บริการผู้พิการทางสายตาได้มากกว่า 320,000 คนแล้วด้วยเช่นกัน
King Power สนับสนุน พลังคนไทยด้วย Sport-Music-Community Power
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เป็นอีกหนึ่งบริษัทของคนไทยที่ส่งเสริมศักยภาพของคนไทยให้ก้าวไกลสู่เวทีโลกอย่างยั่งยืน ถือเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่หันมาทำ CSR อย่างจริงจัง ภายใต้โครงการ “คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย” (King Power Thai Power พลังคนไทย) ที่จะเข้าไปสนับสนุน ส่งเสริม ศักยภาพคนไทยใน 3 ด้านก็คือ กีฬา, ดนตรี และชุมชน เป็นโครงการที่เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี 2017 ที่สร้างประโยชน์ให้กับผู้คนไทยครอบคลุมทั่วประเทศมากกว่า 20 ล้านคน ด้วยความเชื่อในพลังแห่งความเป็นไปได้ และความร่วมมือของพนักงานทุกคนที่ช่วยกันขับเคลื่อนกิจกรรมภายใต้โครงการฯ เพื่อให้คนไทยก้าวไกลสู่เวทีระดับโลก
ในด้านกีฬา โครงการ “คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย” เน้นไปที่การสนับสนุนศักยภาพด้านกีฬาฟุตบอลของเด็กไทยอย่างที่ทำมาโดยตลอดโดยเฉพาะโครงการที่ได้รับความสนใจมากที่สุดคงหนีไม่พ้น “คาราวานแจกฟุตบอล ล้านลูก ล้านพลัง สร้างฝันเด็กไทย”ที่ในปีนี้แจกลูกฟุตบอลไปแล้วนับแสนลูกทั่วประเทศไทย อีกโครงการที่เป็นที่พูดถึงไม่แพ้กันคือโครงการ “100 สนามฟุตบอล สร้างพลังเยาวชนไทย” ที่บริษัท คิง เพาเวอร์ ส่งมอบให้กับ โรงเรียนและชุมชนในพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นพื้นที่สำหรับเยาวชนในการสร้างทักษะทางด้านกีฬาฟุตบอล และใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ โดยในแต่ละโครงการ คิง เพาเวอร์ ยังเชิญนักฟุตบอลดังระดับทีมชาติไทย เช่น ณัฐพร พันธุ์ฤทธิ์ อดีตกัปตันฟุตบอลทีมชาติไทย, กฤษดา วงษ์แก้ว กัปตันฟุตซอลทีมชาติไทย และนักฟุตบอลดังระดับพรีเมียร์ลีกอดีตกัปตันทีม เลสเตอร์ ซิตี้ ชุดแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่าง เวส มอร์แกน มาร่วมสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กๆที่เข้าร่วมกิจกรรมให้เดินเส้นทางสายกีฬาและก้าวไปเป็นนักเตะระดับโลกต่อไปในอนาคต
ด้านดนตรีนั้น คิง เพาเวอร์ ก็มีโครงการที่มีชื่อว่า THE POWER BAND ซึ่งกำลังเดินทางมาสู่ Season 4 แล้วในปีนี้ โดยเป็นโครงการค้นหาสุดยอดวงดนตรีรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพ ชิงเงินรางวัลมูลค่ารวม 1,500,000 บาท เป็นกิจกรรมที่ คิง เพาเวอร์ จับมือกับคณะดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับ 6 ค่ายเพลงชั้นนำของเมืองไทย อย่าง MuzikMove, LOVEiS Entertainment, Small Room, What The Duck, Warner Music Thailand และ XOXO Entertainment ซึ่งใน Season 3 ที่ผ่านมา หลังจากแข่งขันกันอย่างเข้มข้น ก็ได้คัดจนเหลือ 2 วงดนตรีที่ชนะเลิศ ประเภทรุ่นมัธยมศึกษา Class A ได้แก่ วงเตรียมอุดมศึกษา จากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กรุงเทพฯ และประเภทรุ่นบุคคลทั่วไป ไม่จำกัดอายุ Class B ได้แก่ วงหน้าโรงเรียน จ.ศรีสะเกษ ซึ่งจะได้มีโอกาสทำเพลงกับค่ายเพลงชั้นนำ ต่อยอดความฝันศิลปินอาชีพจากพลังแห่งความเป็นไปได้
นอกจากด้านกีฬาและดนตรีแล้ว คิง เพาเวอร์ ยังมีโครงการสนับสนุนชุมชนไทยด้วยโครงการสนับสนุนสินค้าไทยที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นและคัดเลือกพันธมิตรที่เลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเป็นส่วนประกอบในการผลิตในแต่คอลเลคชัน เพื่อผลักดันสินค้าจากภูมิปัญญาของคนไทยสู่เวทีโลก กับหลากหลายผลิตภัณฑ์ อาทิ สินค้าแฟชั่นสตรีทแวร์ คอลเลคชันล่าสุด LCFC BAN KHAO TAO COLLECTION คอลเลกชันเสื้อผ้าที่โดดเด่นด้วยความงดงามของผ้าทอฝีมือคนไทย จากศูนย์หัตถกรรมทอผ้าบ้านเขาเต่า อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่นำไปวางขายให้กับคนทั่วโลกได้สัมผัสกันแล้ว ที่สโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ ประเทศอังกฤษ นับเป็นอีกวิธีการในการสร้างรายได้ให้ชุมชนและสื่อสารวัฒนธรรมไทยออกไปสู่สายตาคนทั่วโลก
Apple กับการทำธุรกิจอย่างยั่งยืนผ่านคลิปไวรัล Mother Nature
คงไม่ต้องถามกันแล้วว่า Apple ทำธุรกิจที่เปลี่ยนโลกใบนี้ไปมากแค่ไหน Apple เองก็มีแนวทางการทำธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบเช่นกันโดยเฉพาะในเรื่องของการแก้วิกฤตClimate Change และในปีนี้ถูกสื่อสารออกมาได้อย่างน่าประทับใจผ่านคลิปวิดีโอ Mother Nature ที่เผยแพร่ใน Apple Event เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา คลิปเพียง 5 นาทีที่สามารถสื่อสารถึงทิศทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ Apple ได้อย่างชัดเจนและน่าสนใจ
คลิปวิดีโอให้ “สิ่งแวดล้อม” มีตัวแทนในฐานะ “Mother Nature” ที่มาร่วมนั่งประชุมฟังรายงานจาก Tim Cook ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและทีมงานของ Apple บนโต๊ะประชุม และเล่าถึงความคืบหน้าด้านต่างๆเช่น การที่ Apple กำลังจะบรรลุเป้าหมายการยุติการใช้พลาสติกในบรรจุภัณฑ์ได้ทั้งหมดภายในปี 2024 นอกจากนี้ Apple ยังใช้วัสดุ ลูมิเนียมรีไซเคิลภายในผลิตภัณฑ์อย่าง MacBook, Apple TV, Apple Watch แบบ 100% แล้วนอกจากนี้ยังเลิกใช้หนังสัตว์กับ “เคส” iPhone ลงทั้งหมด
ในเรื่องของไฟฟ้าทีมงาน Apple เล่าให้ Mother Nature ฟังด้วยว่าเวลานี้ Apple ใช้พลังงานไฟฟ้าที่เป็นพลังงานสะอาดแล้ว 100% ไม่ว่าจะเป็นอาคารสำนักงาน, ร้านค้า และ Data Center ของ Apple ในขณะที่ Supplier กว่า 300 รายก็ให้คำมั่นว่าจะใช้พลังงานสะอาดจากพลังงานหมุนเวียนให้ได้ 100% เช่นกัน ในด้านการขนส่งก็ใช้การขนส่งทางเรือแทนเครื่องบินที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ถึง 95% นอกจากนี้ยังลดการใช้น้ำลงได้ 36,000 ล้านแกลลอน และไฮไลท์ก็คือ Apple Watch Series 9 ที่เวลานี้ได้กลายเป็นสินค้าชิ้นแรกที่ “เป็นกลางทางคาร์บอน” (Carbon Neutral) และยังตั้งเป้าเอาไว้ว่าสินค้าทุกชิ้นของ Apple ที่ทำตลาดจะปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี 2030
ยังไม่ต้องพูดถึงนโยบายด้านสังคมในการสนับสนุนความหลากหลาย และการพัฒนาทรัพยากรบุคคลอีกหลากหลายโครงการของ Apple ในที่นี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในคลิป Mother Nature สะท้อนอย่างชัดเจนว่าบริษัทยักษ์ใหญ่สามารถสร้างผลกำไรไปพร้อมๆกับการลดผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อมได้อย่างเป็นรูปธรรม และกำลังจะบรรลุเป้าหมายหลายๆ เป้าหมายได้แล้วในอีกไม่นานนี้ และตัวอย่างการทำ CSR และการทำธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบเหล่านี้ ทุกองค์กรก็สามารถเดินตามได้ ไม่ใช่เพื่อโลกเท่านั้นแต่ยังเป็นไปเพื่อการเติบโตขององค์กรในระยะยาวต่อไปด้วยเช่นกัน