สกุลเงินดิจิทัล หรือที่หลายๆ คนคุ้นหูในอีกชื่อคือ คริปโต เคอเร็นซี่ ( Crypto Currency ) ต้องบอกก่อนเลยช่วงที่ผ่านมาคริปโต เคอเร็นซี่ เจอทั้งเรื่องที่ดีและร้ายในระยะเวลาใกล้เคียงกันอย่างมาก เรื่องที่ดีก็คือ สกุลเงินดิจิทัลอย่าง Bitcoin มีมูลค่าพุ่งสูงถึง 15,000 ดอลล่า ถูกวาดฝันว่าจะกลายเป็นสกุลเงินมาแรงในอนาคต ที่ใช้ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนในโลกดิจิทัล
ส่วนข่าวร้ายก็คือ รัฐบาลทั่วโลกต่างเพ่งเล็งเจ้าสกุลเงินดิจิทัลเป็นพิเศษ เนื่องจากสกุลดังกล่าวอยู่เหนือการควบคุมของภาครัฐฯ และมีข่าวเว็บเทรดบิตคอยน์ “Youbit” ถูกโจรกรรมแฮกข้อมูลเสียบิตคอยน์ไปจำนวนมหาศาล ทั้งนี้ยังส่อเค้าเป็นช่องทางในการฟอกเงิน ส่งผลให้ประเทศจีนแบน Bitcoin เป็นที่เรียบร้อย ส่วนทางเกาหลีใต้อยู่ระหว่างร่างกฎหมายจัดระเบียบสกุลเงินดิจิทัลดังกล่าว
สำหรับประเทศไทยเอง กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ได้ออกมาชี้แจง โดยอ้างจากพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินฯ พ.ศ.2527 สรุปเป็นสาะสำคัญดังนี้
1.ไม่สามารถนำมาชำระหนี้ได้
สกุลเงินดิจิทัลต่างๆ ไม่สามารถนำมาชำระหนี้ได้ เนื่องจากเป็นหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ และไม่อยู่ในข้อกำหนดของประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เกี่ยวกับการชำระหนี้
2.กฎหมายไม่รองรับการสร้างรายได้ของคริปโต เคอเร็นซี่
มูลค่าของสกุลเงินดิจิทัลมีมูลค่าไม่เท่ากัน และมูลค่าจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานของตัวมันเองล้วนๆ อีกทั้ง กฎหมายยังไม่รองรับการสร้างรายได้ของคริปโต เคอเร็นซี่ เพื่อนำมาจ่ายเป็นผลตอบแทนแก่ภาครัฐฯ หรือเรียกง่ายๆ ว่าภาษีนั่นเอง
3.ผิดกฎหมายตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินฯ พ.ศ.2527
คริปโต เคอเร็นซี่ เข้าข่ายผิดกฎหมาย เนื่องจากข้อกฎหมายกำหนดว่า หากใครโฆษณาเชิญชวนให้ลงทุน ในเชิงจ่ายผลประโยชน์ หรือได้ผลตอบแทนที่สูง แต่กิจการไม่ได้ลงทะเบียนตามข้อกำหนดของกฎหมาย จะมีโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปีและปรับตั้งแต่ห้าแสนบาทถึงหนึ่งล้านบาท ถ้ายังฝ่าฝืนอยู่จะปรับเพิ่มอีกไม่เกินวันละหนึ่งหมื่นบาท
อย่างไรก็ตาม หากดูที่ข้อกฎหมายตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินฯ ถือว่าเก่าพอสมควรเมื่อเทียบกับการเข้ามาและเติมโตอย่างก้าวกระโดดของคริปโต เคอเร็นซี่ ในโลกดิจิทัล คงต้องตามกันอีกยาวๆ เกี่ยวกับการร่างข้อกฎหมายเรื่องสกุลเงินดิจิทัล ถึงทิศทางว่าจะมีความเหมือนหรือต่างกัน ซึ่งอาจนำมาซึ่งการพลิกวงการคริปโต เคอเร็นซี่ เลยก็ว่าได้
ขอบคุณแหล่งที่มาจาก naewna