ในช่วงที่หลายคนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตประจำวันให้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด เทคโนโลยีคือสิ่งที่ช่วยตอบความต้องการใช้ชีวิตประจำวันได้ดีที่สุด ทั้งในเรื่องการสื่อสาร การเดินทาง และการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ทำให้ผู้พัฒนาเทคโนโลยีต่างคิดค้นและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการใช้ชีวิตประจำวันให้สะดวกและง่ายที่สุด
Mi Electric Scooter Pro 2
Scooter ที่ทีมรถแข่ง Benz ช่วยออกแบบ
นั่นทำให้ “เสี่ยวมี่ (Xiaomi)” ผู้ผลิตและพัฒนาเทคโนโลยี Gadget จึงนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะช่วยตอบความต้องการของทุกคน โดยเฉพาะ 3 Gadget หลักที่ Xiaomi ครองผู้นำตลาด โดยหนึ่งไฮไลต์ของ Gadget ครั้งนี้คือ Mi Electric Scooter Pro 2 โดยเป็น Scooter ที่ช่วยให้สามารเดินทางได้ในระยะสั้น โดยสามารถทำความเร็วสูงสุด 25 กม./ชม. สามารถเดินทางได้ไกลสุด 45 กม.ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง
และสามารถวิ่งทางลาดชันได้สูงถึงระดับ 20 องศา ช่วยให้การเดินทางระยะสั้นสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ขณะที่ด้านความปลอดภัย Mi Electric Scooter Pro 2 ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก TUV พร้อมระบบ e-ABS ที่ช่วยชะลอความเร็วเมื่อลงทางลาดชัน ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในยามค่ำคืนด้วยการติดตั้งไฟหน้า ไฟเบรคท้ายและแถบเรืองแสงที่ล้อ
ยิ่งไปกว่านั้น Scooter ส่วนใหญ่ที่ขายในท้องตลาดจะติดตั้งระบบเบรคมาให้เพียงล้อเดียว โดยแต่ละแบรนด์จะดีไซน์เองว่าระบบเบรคควรติดตั้งอยู่ในล้อหน้าหรือล้อหลัง ส่งผลให้เมื่อเบรคฉุกเฉินที่ล้อหน้าโอกาสที่ Scooter จะคว่ำจึงมีสูง ส่วนการติดตั้งเบรคฉุกเฉินที่ล้อหลังจะทำให้เกิดการลื่นไถล Mi Electric Scooter Pro 2 จึงติดตั้งระเบรคมาให้ทั้ง 2 ล้อ
พร้อมด้วยล้อใส่ยางแบบเติมลมเพื่อเพิ่มความนุ่มนวลในการขับขี่และสามารถใช้ Mi Portable Air Compressor ในการเติมลมยางได้อีกด้วย แถมยังมีจอแสดงสถานะความเร็วและแบตเตอรี่รวมถึงกระดิ่ง โดย Mi Electric Scooter Pro 2 สามารถพับเก็บได้ง่าย น้ำหนักเบา ทำให้สามารถพกพาไปไหนได้สะดวก
ที่สำคัญยังได้รับการออกแบบโดยทีมแข่งรถ F1 จากค่าย Mercedes Benz พร้อมเปิดตัวที่ราคา 499 ยูโรหรือราว 17,800 บาท
Mi Band 5 สามารถตรวจจับการเล่นกีฬาในร่ม
กันน้ำลึก 50 เมตร แบตอึดใช้งานได้ยาวนาน 14 วัน
มาที่อุปกรณ์ Wearable ที่ครั้งนี้ Xiaomi ได้ส่ง Mi Band 5 กับหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นและสามารถเชื่อมต่อกับ Mi Home App พร้อมด้วยสีสันใหม่ที่ช่วยให้เข้ากับแฟชั่นดีไซน์ และยังสามารถกันน้ำได้ลึกถึง 50 เมตรกับการใช้งานที่ยาวนานถึง 14 วันต่อการชาร์จเต็ม ด้วยการชาร์จที่ง่ายกว่าเดิมโดยไม่ต้องถอดออกจากสายรัดเหมือนรุ่นเดิมๆ เพื่อรองรับยุคสมัยนี้ยังได้พิ่มฟังก์ชั่นกีฬาในร่มเข้าไปอีก 5 รายการ อาทิ การเล่นโยคะ กระโดดเชือก
การตรวจวัดคลื่นหัวใจยังมีความแม่นยำเพิ่มขึ้นถึง 50% รองรับการตรวจวัดการนอนได้ 24 ชม. แม้จะหลับงีบในช่วงเวลาบ่ายๆ รวมถึงการใช้เป็นรีโมทในการสั่งให้กล้องมือถือถ่ายรูปได้ ทั้งหมดนี้ทำให้ Mi Band 5 ถูกเปิดตัวในราคา 39.99 ยูโร หรือราว 1,430 บาท
Mi True Wireless Earphone 2
หูฟังไร้สายไฮเอนต์แต่ราคาน่าควักเงินซื้อ
เมื่อมี Mi Band แล้วก็ต้องมี Wireless Earphone จึงได้เปิดตัว Mi True Wireless Earphone 2 ด้วยเทคโนโลยีใหม่ทำให้ได้ยินเสียงสูงที่ชัดเจน เสียงกลางที่คมชัดและเสียงเบสที่หนักแน่น เมื่อเทียบคุณภาพเสียงแล้วถือว่าใกล้เคียงกับ AirPods ของ iPhone นอกจากนี้ Mi True 2 ยังมีเซ็นเซอร์พิเศษเมื่อถอดออกจากหูข้างใดข้างหนึ่งเพลงจะหยุดอัตโนมัติ พร้อมระบบตัดเสียงรบกวนเมื่อต้องใช้โทรศัพท์พูดคุย
แถมยังให้แบตเตอรี่อึดด้วยการใช้งาน 20 ชั่วโมงต่อการชาร์จ สามารถเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนได้อัตโนมัติและการตรวจจับสัญญาณในหู ด้วยราคาเปิดตัวที่ 39.99 ยูโร หรือราว 1,430 บาท ขณะที่ AirPods จำหน่ายในราคา 179 ยูโร หรือราว 6,400 บาท
Mi TV Stick
เปลี่ยนทีวีธรรมดาเป็น Smart TV
และการเปิดตัว Mi TV Stick ที่จะเปลี่ยนทีวีธรรมดาให้กลายเป็น Smart TV สามารถพกพาไปที่ไหนก็ได้ พร้อมด้วยรายการต่างๆ บน Android TV พร้อมด้วยรีโมทอัจฉริยะที่สามารถควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ใน Smart Home ได้ผ่าน Google Assistant ซึ่ใน Mi TV Stick มีระบบ Chromecast อยู่ในภายในและหน่วยความจำ 8GB เพื่อใช้เก็บเกมและแอปฯ รวมถึงระบบ Dolby Surround ด้วยราคาเปิดตัว 39.99 ยูโร หรือราว 1,430 บาท
เอาใจคอเกมด้วยมอนิเตอร์ความละเอียดสูง
Mi Curve Gaming Monitor 34″
เอาใจคอเกมเกมกับการเปิดตัว Mi Curve Gaming Monitor 34″ ที่ให้ความละเอียดสูงระดับ WQHD พร้อมให้ Refresh Rate สูงสุดที่ 144Hz รองรับขนาดจอภาพแบบ 21:9 โดยเปิดตัวที่ราคา 399 ยูโรหรือราว 14,300 บาท ขณะที่คู่แข่งในตลาดที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกันเปิดตัวที่ราคา 500-600 ยูโร
Redmi 9 สมาร์ทโฟนเริ่มต้นที่ให้มากกว่า
เทียบสเปคคู่แข่งแต่ราคาดีกว่ามาก
ฝั่งสมาร์ทโฟนเองก็มีการเปิดตัวเช่นกัน โดยเฉพาะ RedMi ที่เป็นสมาร์ทโฟนในกลุ่มเริ่มต้น ด้วยการเปิดตัว RedMi 9 โดย RedMi 9 มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 6.53 นิ้วแบบ FHD+ พร้อมด้วย 3 สีที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ รวมถึง Ram ที่ให้มากถึง 4GB รองรับการชาร์จด่วนกับแบตเตอรี่ขนาด 5020 mAh และกล้องที่ให้มากถึง 4 ตัว ช่วยให้ถ่ายภาพได้หลากหลายรูปแบบ แถมด้วยฟังก์ชั่น NFC ที่ใช้ให้สามารถใช้การแตะสมาร์ทโฟนเพื่อใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตได้
โดย RedMi 9 ในรุ่น Ram 3GB หน่วยความจำ 32GB เปิดตัวที่ราคา 149 ยูโรหรือราว 5,300 บาท ส่วนรุ่น Ram 4 GB หน่วยความจำ 64GB เปิดตัวที่ราคา 169 ยูโรหรือราว 6,000 บาท และยังเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นน้องอย่าง RedMi 9C โดยในรุ่น Ram 3GB หน่วยความจำ 64GB เปิดตัวที่ราคา 139 ยูโรหรือราว 4,900 บาท และรุ่น RedMi 9A โดยในรุ่น Ram 2GB หน่วยความจำ 32GB เปิดตัวที่ราคา 99 ยูโรหรือราว 3,500 บาท
เน้นสร้าง ecosystems ครบสมบูรณ์
สู่ผู้นำด้าน IoT Platfrom ใน Smart Home
ด้าน Shou Zi Chew President of International Xiaomi ชี้ว่า Xiaomi สามารถขึ้นมาเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีนวัตกรรมในอันดับที่ 24 ของโลกในปีนี้ ที่สำคัญปีนี้เป็นปีแรกที่สัดส่วนรายได้ทั่วโลกเทียบเท่ากับรายได้เฉพาะในประเทศจีนช่วงไตรมาสแรก
Xiaomi ยังเป็นแบรนด์ผู้นำติด 1 ใน 5 ใน 47 ประเทศทั่วโลก ทั้งนี้ยังเชื่อว่าสมาร์ทโฟนจะกลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เทคโนโลยีต่างๆ ผ่านเทคโนโลยี IoT โดยในเดือนพฤษภาคมพบว่ามีการเชื่อมต่อกันมากกว่า 252 ล้านผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมต่อบนแพลตฟอร์มของ Xiaomi นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ Wearable และ Scooter ของ Xiaomi ยังก้าวขึ้นสู่ผู้นำตลาด ขณะที่ธุรกิจทีวีของ Xiaomi ขึ้นสู่ Top 5 ของโลกในด้านการส่งมอบ
ทั้งหมดทำให้ Xiaomi เป็นหนึ่งในผู้นำด้านแพลตฟอร์ม IoT ระดับโลก เป้าหมายที่สำคัญคือการสร้าง ecosystems ด้านนวัตกรรมซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานสะดวกและสนุกไปกับการใช้งาน โดยที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย โดยเฉพาะ Smart Home ที่ช่วยให้ชีวิตสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ทั้งระบบล็อคประตูอัตโนมัติ เครื่องปรับอากาศ หุ่นยนต์ดูดฝุ่น เป็นต้น ผ่านแอปพลิเคชั่น “Mi Home App”
