Coronavirus กลายเป็นโรคเกิดใหม่ซึ่งเกิดจากการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัส โดยมีเมืองอู่ฮั่นในมณฑลหูเป่ย ประเทศจีน เป็นศูนย์กลางของการแพร่ระบาดในครั้งนี้ ทันทีที่มีการระบาดรัฐบาลจีนได้ดำเนินการควบคุมโรคติดต่อ โดยสั่งปิดเมืองอู่ฮั่นเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดกระจายไปสู่เมืองอื่นๆ ในปัจจุบันมีหลายประเทศทั่วโลกพบผู้ป่วยติดเชื้อ Coronavirus จำนวนมาก
ด้านองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการฉุกเฉิน เพื่อประเมินสถานการณ์และให้คำแนะนำแก่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยในการประชุมครั้งที่ 2 นี้ คณะกรรมการฯ ได้กล่าวชื่นชมประเทศจีน ที่มีมาตรการรับมือรวดเร็ว ทั้งการระบุเชื้อไวรัสอย่างรวดเร็วและแสดงให้เห็นถึงวงจรการเติบโตของไวรัส เพื่อให้ประเทศอื่นๆ สามารถนำข้อมูลดังกล่าวไป วินิจฉัยได้อย่างรวดเร็วและป้องกันตัวเอง
รวมถึงการติดต่อกับ WHO ทุกวันและการวางแนวทางที่ครอบคลุมหลายภาคส่วนเพื่อป้องกันการแพร่กระจายต่อไปด้วยมาตรการด้านสาธารณสุขในเมืองและพื้นที่ใกล้เคียงอื่นๆ การดำเนินการของจีนเป็นเรื่องที่ดี รวดเร็วและรัดกุม และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สถานการณ์การติดเชื้อ Coronavirus ลุกลามช้ากว่าโรคติดต่ออื่นๆ
คณะกรรมการฯ ยังชี้ว่า จำเป็นต้องมีการศึกษาแหล่งที่มาที่เป็นไปได้ของเชื้อไวรัสเพื่อแยกแยะการแพร่กระจาย รวมไปถึงการเฝ้าระวังที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคนอกมณฑลหูเป่ย ซึ่ง WHO ควรระดมผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินการระบาด รวมถึงควรสนับสนุนอย่างเข้มข้นกับประเทศและภูมิภาคที่มีช่องโหว่ในการป้องกัน
นั่นจึงทำให้มีการประกาศให้ Coronavirus ถือเป็น PHEIC (Public Health Emergency of International Concern) หมายถึงเหตุการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขที่ก่อให้เกิด
ความเสี่ยงต่อประเทศอื่นๆ จากการแพร่ระบาดระหว่างประเทศและต้องอาศัยความร่วมมือจากนานาประเทศในการรับมือกับเหตุการณ์นั้น
แบรนด์ประกาศปิดสาขาเป็นการชั่วคราวต่อเนื่อง
ขณะที่หลายแบรนด์ที่มีสาขาในจีน ก็ได้ทยอยออกมาประกาศปิดสาขาชั่วคราว เพื่อเพื่อป้องกันผลกระทบจากการระบาดของ “โคโรนา” ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ เช่น
สตาร์บัคส์ ประกาศปิดสาขาร้านในจีนมากกว่า 2,000 แห่งเป็นการชั่วคราว , แอปเปิ้ล สั่งปิดสาขา 3 แห่ง ในหนานจิง , ฝูโจว และชิงเต่า ฯลฯ , อิเกีย สั่งปิดสาขาทั้งหมดในจีน , ยูนิโคล่ ปิดร้านค้าประมาณ 100 แห่ง โดยส่วนใหญ่ตั้งอยู่ที่มณฑลหูเป่ย ซึ่งเป็นที่ตั้งของอู่ฮั่น ขณะที่แมคโดนัลด์ ก็สั่งปิดสาขาทั้งหมดในหูเป่ยเช่นกัน
Source: WHO