กลายเป็นเรื่องประวัติศาสตร์ระดับโลก เมื่อ 2 ผู้นำที่ทั่วโลกจับตามอง นำโดยผู้นำโลกเสรีอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และผู้นำโลกคอมมิวนิสต์ที่ไม่มีใครกล้าเล่นด้วยอย่าง คิม จอง อึน ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี หรือ เกาหลีเหนือ ยอมตกลงพบปะเจรจากันในเรื่องของสันติภาพว่า “กลไกรักษาสันติภาพยั่งยืนในคาบสมุทรเกาหลี” โดยเน้นไปที่การปลดและยุติอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ
แต่จุดที่น่าสนใจไม่แพ้การประชุมครั้งนี้คือ สถานที่จัดการประชุมที่ประเทศสิงคโปร์เสนอตัวในการเป็นตัวกลางเพื่อจัดงานประชุมพิเศษครั้งประวัตศาสตร์นี้ หลายคนคงพอจะทราบได้อยู่แล้วว่า สิงคโปร์ทำไปเพื่อต้องการสร้างชื่อเสียง นี่คือเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ เพราะงานช้างระดับนี้คนกลางย่อมได้รับชื่อเสียงตามมาด้วย หลายคนเชื่อว่านี่คือการสร้าง Brand ในนามประเทศสิงคโปร์ และการประชุมครั้งนี้จะช่วยสร้างการรับรู้ (Awareness) ไปทั่วโลก
นั่นก็น่าจะเป็นเป้าหมายที่สิงคโปร์วางไว้ แต่อะไรคือสิ่งที่ทำให้สิงคโปร์ต้องสร้างแบรนด์ในนามประเทศสิงคโปร์ หลักๆ นั้นเป็นเพราะสิงคโปร์เป็นประเทศที่ถ้าเรียกให้ถูกก็เหมือนอำเภอที่แยกออกมาจากจังหวัด สิงคโปร์เองก็แยกตัวออกมาจากมาเลเซีย ซึ่งในปัจจุบันยังคงมีโครงส่งมอบโครงสร้างพื้นฐานบางส่วนที่มาเลเซียครอบครองทะยอยคืนให้กับประเทศสิงคโปร์ นั่นเป็นสิงที่บ่งบอกได้ว่าประวัติศาสตร์สิงคโปร์ไม่มีความน่าตื่นเต้นหรือน่าค้นหา มากไปกว่าการแยกตัวออกมาจากมาเลเซีย
และหากศึกษาประวัติศาสตร์สิงคโปร์จะพบว่า สิงคโปร์เดิมเคยมีทรัพยากรป่าไม้และสวนไร่ทางการเกษตร แต่เพราะจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้พื้นที่อยู่อาศัยรุกล้ำพื้นที่นที่ทางการเกษตร จนทำให้การเกษตรในสิงคโปร์ลดลงจนหายไปในที่สุด และมีอาคารสูงเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยเข้ามาแทน นั่นทำให้สิงคโปร์กลายเป็นผู้นำเข้าอาหารรายใหญ่ โดยเฉพาะสินค้าหลายอย่างนำเข้ามาจากมาเลเซียและไทย
ด้วยขนาดพื้นที่ที่มีอยู่อย่างจำกัดและทรัพยากรธรรมชาติที่น้อยจนแทบไม่มี สิงคโปร์จึงต้องผันตัวเองเป็นผู้ให้บริการ โดยเฉพาะในเรื่องของการเป็น “พ่อค้าคนกลาง” แน่นอนว่า ในอดีตสิงคโปร์เคยพยายามสร้างตัวเองเป็นศูนย์กลางในหลายๆ ด้าน เช่น ศูนย์กลางด้านการรักษาพยาบาล (Medical Hub) ที่รวบรวมทีมหมอระดับหัวกะทิไว้และบริการเสมือนโรงแรม 6 ดาว ถึงขนาดลงทุนสร้างชื่อด้วยการรับเคสการผ่าตัดที่ไม่มีสถาบันด้านการแพทย์ใดในโลกกล้ารักษา อย่างการผ่านตัดแยกฝาแฝดตัวติดกัน
แต่ความผิดพลาดครั้งนั้นก็ทำให้ความหวังการตั้งศูนย์กลางด้านการรักษาพยาบาล (Medical Hub) จบลงไปด้วย นอกจากนี้ส่วนหนึ่งคือแหล่งท่องเที่ยว ที่สิงคโปร์เน้นการเป้นแหล่งช้อปปิ้งมากเกินไป สิงคโปร์จึงผุดเมกะโปรเจ็คสร้างเกาะเซ็นโตซ่า (Sentosa) เพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวครบวงจร ทั้งคาสิโนสำหรับผู้ใหญ่และสวนสนุกสำหรับเด็กๆพร้อมด้วยธุรกิจโรงแรมที่ล้วนแต่ขึ้นระดับ 4-6 ดาวแทบทั้งสิ้น
ไม่ว่าการประชุมครั้งนี้จะจบลงสวยงามตามท้องเรื่อง หรือจบไม่สวยแบบที่หลายคนไม่อยากให้เป็น สิ่งที่สิงคโปร์กำลังจะได้คือภาพความเป็นคนกลางที่มีศักยภาพและความเชี่ยวชาญ เสริมภาพลักษณ์ความเป็นศูนย์กลางธุรกิจของภูมิภาคนี้ เพราะในอนาคตโครงการต่างๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยกำลังสร้างความตระหนกให้กับสิงคโปร์ โดยเฉพาะการที่จีนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะรถไฟความเร็วสูงที่มีโอกาสให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ (Logistic Hub) จากเดิมที่สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางการขนส่ง โดยเฉพาะสินค้าทางเรือผ่านช่องแคบมะละกา
หากในอนาคตเกิดโครงการรถไฟเชื่อมต่อจากฝั่งตะวันออกสู่ภาคใต้ของไทยก็จะกลายเป็นการขนส่งในรูปของ Landbridge ที่นอกจากจะลดระยะเวลาในการอ้อมแหลมมะละกาแล้ว ยังลดค่าใช้จ่ายในภาคขนส่งอีกด้วย และมีความเป็นไปได้ที่หลายธุรกิจจะเลือกมาลงทุนในไทยมากยิ่งขึ้น (หากกฎหมายไทยมีการเอื้อต่อการลงทุน) นอกจากนี้เห็นได้ว่าสิงคโปร์เริ่มการขยายธุรกิจไปในประเทศอื่นๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง
นั่นจึงทำให้เห็นว่าสิงคโปร์มองเห็นศักยภาพของไทย และคิดเผื่อว่าหากเกิดผลกระทบกับสิงคโปร์เมื่อศักยภาพไทยเติบโต สิงคโปร์จะรับมืออย่างไร นั่นทำให้สิงคโปร์ต้องเร่งสร้างชื่อโดยเฉพาะแบรนด์ประเทศในการเป็นศูนย์กลางธุรกิจและการประชุม ผ่านการประชุมนัดพิเศษครั้งนี้ ยิ่งไปกว่านั้นสิงคโปร์ยังโชว์การเป็นศูนย์กลางการจัดประชุมต่างๆ ภายใต้ธุรกิจโรงแรมที่สิงคโปร์มีเพื่อรองรับการจัดประชุมทั่วโลก
นั่นจึงเป็นที่มาของการเร่งทำให้ประเทศสิงคโปร์กลายเป็นที่รู้จักในฐานะคนกลางที่จับคู่ธุรกิจ
ขนาด 2 ผู้นำศัตรูคู่อาฆาต ยังสามารถเป็นคนกลางเพื่อมาพูดคุยและจับมือกันได้!!!