ในยุค Digital Transformation เช่นนี้ เทคโนโลยีกลายเป็นเครื่องมือสำคัญของทุกอุตสาหกรรม ไม่เว้นแม้แต่ภาคธุรกิจยานยนต์และการขนส่ง ซึ่งมีการนำเครื่องมือหลากหลายประเภทเข้ามาใช้งาน ทั้งการพัฒนาประสิทธิภาพ การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล กระทั่งล่าสุด ก็มาถึงการใช้ Big Data จากเทคโนโลยี “เทเลเมติกส์” (Telematics) ซึ่งกำลังจะกลายเป็นหัวใจสำคัญต่ออุตสาหกรรมยานยนต์และการขนส่ง ท่ามกลางยุค IoT ที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ถูกเชื่อมโยงกับอินเทอร์เน็ต และ Big Data ไว้ด้วยกัน
และเมื่อเทคโนโลยี เทเลเมติกส์ ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการบริหารจัดการกลุ่มรถ การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ นอสตร้า โลจิสติกส์ (NOSTRA Logistics) ในฐานะผู้ให้บริการโซลูชันจัดการงานขนส่งและโลจิกติกส์ ซึ่งดำเนินงานโดยบริษัท จีไอเอส จำกัด ในเครือบริษัท ซีดีจี ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจว่า “เทคโนโลยี Telematics และ IoT สามารถนำมาใช้ประโยชน์ที่สำคัญที่สุด 2 ประการ คือ ความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน และการบำรุงรักษายานยนต์ชะลอความสึกหรอของเครื่องยนต์”
วิวัฒนาการเทคโนโลยี ไม่ได้มีประโยชน์แค่ “ธุรกิจ” แต่ “ลดอุบัติเหตุ” ได้ด้วย
ใครจะเชื่อว่า “เทเลเมติกส์” และ “IoT” สามารถช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุจากพฤติกรรมการขับขี่ที่ไม่ปลอดภัยได้ เนื่องจาก 9 ใน 10 ของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั้นมีสาเหตุมาจากมนุษย์ สอดคล้องกับงานวิจัยของมหาวิทยาลัยขอนแก่นที่ระบุว่า สาเหตุหลักของอุบัติเหตุและการเสียชีวิตบนท้องถนนของไทย คือ การขับรถเร็วกว่าอัตราที่กำหนด รองลงมา คือ การขับรถตัดหน้าอย่างกระชั้นชิด และถัดมา คือ การขับรถตามแบบกระชั้นชิด
ดังนั้น สิ่งสำคัญลำดับแรกในการป้องกันและลดจำนวนอุบัติเหตุทางถนนคือ การป้องกันพฤติกรรมการขับขี่ที่ไม่ปลอดภัยให้แก่ผู้ขับรถ ซึ่ง เทเลเมติกส์…เทคโนโลยีความปลอดภัยในรถยนต์เพื่อช่วยป้องกันและแจ้งเตือนให้ผู้ขับรถทราบความเสี่ยงอันตรายในขณะขับรถ สามารถตรวจสอบเมื่อคนขับไม่ได้มองถนน มือไม่จับพวงมาลัย สมองไม่มีสติในการควบคุมรถ เพื่อเพิ่มความระมัดระวังหรือเปลี่ยนพฤติกรรมได้ทันเวลา
“เทเลเมติกส์” จะเป็นทางเลือกใหม่สำหรับธุรกิจยานยนต์-การขนส่ง
คุณปิยวดี หงษ์ภักดี ผู้อำนวยการส่วนผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ บริษัท จีไอเอส จำกัด อธิบายว่า เทเลเมติกส์เป็นโซลูชันใหม่ที่ทำหน้าที่เก็บรวมรวบและเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างรถยนต์และผู้ใช้รถให้เป็นหนึ่งเดียวผ่านเทคโนโลยี IoT โดยการเชื่อมต่อและผสมผสานอุปกรณ์หลายชนิดเข้าด้วยกัน ผ่านการสื่อสารบนอินเทอร์เน็ตและส่งข้อมูลมารวบรวมไว้ยัง Cloud Server ทำให้เกิดการวิเคราะห์ Big Data สำหรับการบริหารจัดการในธุรกิจยานยนต์และการขนส่ง ก่อให้เกิดผลดีต่อองค์กรทางธุรกิจ ยกตัวอย่างการวิเคราะห์ข้อมูล Big Data ผ่านเทคโนโลยีเทเลเมติกส์ เช่น การจัดการความเสี่ยงจากพฤติกรรมการขับรถ (Risk Management) การจัดเส้นทางการเดินรถ (Routing Optimization) การประเมินความเสียหายและการบำรุงรักษารถ (Breakdown and Maintenance Management) เป็นต้น
สิ่งสำคัญที่สุด 2 ประการของการนำเทคโนโลยีเทเลเมติกส์มาใช้ คือ ความปลอดภัยของคนขับรถและการบำรุงรักษายานยนต์ รวมทั้งชะลอความสึกหรอของเครื่องยนต์ โดยในด้านความปลอดภัย การจัดการความเสี่ยงในพฤติกรรมการขับรถ สามารถใช้อุปกรณ์เทเลเมติกส์ เพื่อตรวจสอบและแจ้งเตือนการขับขี่ที่ไม่ปลอดภัยให้แก่ผู้ขับขี่แบบเรียลไทม์ ตลอดจนนำ Big Data ของข้อมูลการขับรถ เช่น ความเร็วในการขับขี่ การขับเร่งกระชาก การเบรกกะทันหัน ประวัติการเกิดอุบัติเหตุ ฯลฯ มาวิเคราะห์และประเมินความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการขับรถและการเกิดอุบัติเหตุผ่านโมเดลการวิเคราะห์การขับขี่ที่ไม่ปลอดภัย และแสดงผลรายงานในรูปแบบการให้คะแนนการขับขี่ เพื่อให้คนขับปรับปรุงพฤติกรรมการขับรถได้อย่างเหมาะสมเพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ด้านการประเมินความเสียหายและการบำรุงรักษารถ ผ่านเทเลเมติกส์ที่สามารถเก็บข้อมูลจากระบบประมวลผลภายในรถยนต์ เช่น ความเร็วรอบเครื่องยนต์ ความเร็วไมล์รถ ระดับน้ำมัน แรงดันยางรถ ผนวกกับข้อมูลจำพวกประวัติการบำรุงรักษาและซ่อมแซมรถมาวิเคราะห์เพื่อวางแผนบำรุงรักษาหรือซ่อมแซมได้อย่างถูกต้อง ทำให้ธุรกิจสามารถใช้งานรถขนส่งได้เต็มประสิทธิภาพ รวดเร็ว ไม่เสียเวลาในการดำเนินธุรกิจ และลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดระหว่างการเดินทางได้
มี Big Data แล้ว ต้องทำได้มากกว่าวิเคราะห์-รู้ข้อมูลเชิงลึก!!!
นอกจากนี้ เทคโนโลยีดังกล่าวยังสามารถแชร์ข้อมูลระหว่างภาครัฐและเอกชนได้ด้วย โดยสามารถใช้เทเลเมติกส์สำหรับวางแผนเส้นทางการจัดส่งสินค้าและการเดินรถ ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูล BigData จำพวกตำแหน่งของรถยนต์ ความเร็วที่ใช้ในการขับขี่ ข้อมูลการขับรถ และข้อมูลอื่น ๆ เช่น การจำกัดความเร็วรถจากป้ายจราจร สัญญาณไฟจราจร รายงานเหตุการณ์บนท้องถนนแบบเรียลไทม์ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาการจราจร และวางแผนเส้นทางการขนส่งที่ดีที่สุดแก่ผู้ประกอบการ ทำให้สามารถจัดส่งสินค้าแก่ลูกค้าได้ตรงตามเวลาและกำหนดเวลาล่วงหน้าได้อย่างชัดเจน ทั้งยังป้องกันการทุจริตของพนักงานในเรื่องของเวลาการทำงานและระยะทางที่เดินทางจริง ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าเชื้อเพลิง รวมถึงรักษาสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นจากการใช้เชื้อเพลิงที่ลดลงด้วย
รวมถึงประโยชน์ในการเพิ่มมูลค่าแก่ธุรกิจ ซึ่งพบว่าบริษัทผลิตรถยนต์มีการนำเทคโนโลยีเทเลเมติกส์เข้ามาติดตั้งและเชื่อมต่อกับรถยนต์รุ่นใหม่หลายรุ่น พร้อมกับฟังก์ชั่นใหม่ที่ให้ความปลอดภัย ความสะดวกสบาย และความอุ่นใจด้วยบริการตลอด 24 ชั่วโมง เช่น ค้นหาตำแหน่งรถยนต์ ตรวจสอบตำแหน่งรถยนต์กรณีถูกโจรกรรม การแจ้งเตือนขณะจอดรถเมื่อเกิดความผิดปกติกับรถยนต์ การนัดหมายเพื่อนำรถเข้าบริการตามระยะ บริการความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง เป็นต้น ซึ่งจากที่กล่าวมาพบว่าเทเลเมติกส์มีความโดดเด่นในเรื่องความปลอดภัย ทำให้ธุรกิจด้านอื่นอย่างธุรกิจประกันภัยนำเทเลเมติกส์เข้ามาเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์การบริการแก่ลูกค้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ เทเลเมติกส์ยังเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจด้วยการผลิตยานพาหนะที่ไร้คนขับ หรือ Autonomous Vehicles ที่ได้เริ่มเข้ามาถึงอุตสาหกรรมการขนส่งในปีที่ผ่านมาแล้ว โดยกล่าวกันว่า…เทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับจะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการขับรถและยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนน จากความสามารถของเทคโนโลยีในการขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเองที่เรียกว่า Connected Car ซึ่งก็คือ รถยนต์ที่ประกอบด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและเชื่อมโยงกับอุปกรณ์อื่นทั้งภายในรถยนต์และภายนอกรถยนต์ได้ เรียกว่าเป็น Vehicle-to-Vehicle Communication เพื่อควบคุมการขับรถทั้งหมดโดยไม่ต้องใช้คนขับ
อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์ระดับโลกว่า Connected Car จะเติบโตในตลาดได้ 100% ในปี 2569 แม้จะพบเป็นจำนวนน้อยในปัจจุบัน แต่เทเลเมติกส์จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการระบบข้อมูล และพัฒนาเทคโนโลยีของยานพาหนะไร้คนขับให้เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในอนาคต ซึ่งนับว่าเป็นความหวังใหม่ในตัวสินค้าและบริการ เป็นการเพิ่มโอกาสในการใช้ประโยชน์จากข้อมูล Big Data ให้เป็นนวัตกรรมใหม่ที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยีเทเลเมติกส์ โดยในยุค Digital Transformation ภาคธุรกิจยานยนต์และการขนส่งได้นำเทคโนโลยีเทเลเมติกส์มาช่วยในกระบวนการทำงาน รวมถึงการเก็บรวบรวมข้อมูลในรูปแบบของดิจิทัล และนำเสนอผลลัพธ์แบบ Visualization ที่เข้าใจง่ายและชัดเจนผ่านการแสดงผลบน Dashboard แอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ที่มีการเชื่อมโยงกับอุปกรณ์ ด้วยรูปแบบของสถิติ คะแนน หรือเกรดจากการวิเคราะห์และประเมินผล ซึ่งสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ได้อย่างง่ายและสะดวก นับว่าเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยและตอบรับกับวิถีชีวิตของผู้คนในยุคใหม่