หลังจากมีข่าวว่า ผลกำไรในไตรมาสที่ 4 ปี 2560 (กันยายน-พฤศจิกายน) ของ “เถ้าแก่น้อย” ไม่สดใสเท่าที่ควร ล่าสุด เถ้าแก่น้อยได้แถลงผลประกอบการในปี 2560 โดยมีรายได้รวมประมาณ 5,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 12% โดยตลาดในประเทศโตขึ้น 8% และต่างประเทศ 15% นอกจากนี้ เถ้าแก่น้อยยังครองส่วนแบ่งการตลาดถึง 72% ขึ้นแท่นผู้นำตลาดสแน็คประเภทสาหร่ายปรุงรสในไทย จากมูลค่าตลาด 2,882 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 9.4%
ทั้งนี้ ภาพรวมตลาดสแน็คในไทยในปีที่ผ่านมา มีมูลค่ารวมกว่า 33,266 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีที่แล้ว 4.5% สำหรับปีนี้เถ้าแก่น้อยคาดการณ์ไว้ว่ากำไรจะเพิ่มขึ้น 2-3% มาจากต้นทุนการผลิตถูกลงถูกลง 10%
ทุ่มงบก้อนใหญ่ ซื้อโรงงานผลิตสาหร่ายในสหรัฐฯ
คุณอิทธิพันธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) เผยว่า บริษัทฯ ได้ซื้อโรงงานสาหร่ายในสหรัฐฯ รวมมูลค่า 2 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 60 ล้านบาท และในอีก 3 เดือนข้างหน้า โรงงานแห่งใหม่ที่บริษัทฯ จะเริ่มผลิตเพื่อจำหน่ายในรัฐแคลิฟอร์เนีย มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 10-20 ล้านเหรียญต่อปี สำหรับเหตุผลที่ทำให้บริษัทฯ เริ่มผลิตได้เร็ว เพราะเป็นการซื้อโรงงานต่อจากผู้ผลิตเดิมที่มีการขอใบอนุญาติไว้แล้ว จึงลดเวลาและขั้นตอนต่างๆ ไปได้มาก
เนื่องด้วยตลาดสแน็คในสหรัฐฯ ถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด มีมูลค่ารวมกว่า 40,000 ล้านเหรียญ และเติบโต 30-40% ต่อปี เมื่อมองเฉพาะส่วนสาหร่าย ต้องบอกว่าเทรนด์การทานสาหร่ายในสหรัฐฯ จะทานเพื่อสุขภาพ หรือสาหร่ายออร์แกนิก ในช่วง 18 เดือนต่อจากนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายในสหรัฐฯ ไว้ที่ 18 ล้านเหรียญ โดยยึดแคลิฟอร์เนียเป็นพื้นที่หลักของการขาย และสินค้าที่จะนำไปตีตลาดคือ สาหร่ายเทมปุระ เพราะทานง่ายกว่าแบบออริจินัล
เพิ่มสาขาเถ้าแก่น้อยแลนด์ และเปิดเถ้าแก่น้อยแลนด์พลัส
กว่า 50% ของยอดขายในประเทศมาจากนักท่องเที่ยว โดยมาจาก 2 ช่องทาง ได้แก่ การกระจายสินค้าใน Modern Trade ทั้งเมืองใหญ่และเมืองรอง อีกส่วนคือ ร้านเถ้าแก่น้อยแลนด์ จากที่มี 13 สาขา ยอดขายรวม 300 ล้านบาท ในปีนี้บริษัทฯ มีแผนจะเพิ่มเป็น 20 สาขา ทั้งสาขาในห้าง และสแตนอโลน
สินค้าที่วางจำหน่ายในเถ้าแก่น้อยแลนด์ แบ่งได้ 3 ประเภท ได้แก่ สินค้าที่รับมาขาย, สินค้าที่มีจำหน่ายที่ร้านนี้ที่เดียว และ House Brand หรือการจ้างผลิต ซึ่งเป็นสินค้าที่มีอัตราการเติบโตมากที่สุด มียอดขาย 30% ของร้าน ทั้งนี้ สินค้าทั้งหมดมีทั้งที่เป็นอาหาร และของฝากอื่นๆ เช่น เครื่องสำอาง และยาหม่อง เป็นต้น
สำหรับเถ้าแก่น้อยแลนด์พลัส (ชื่ออย่างไม่เป็นทางการ) บริษัทฯ มีแผนจะเปิด 1 สาขาในช่วงปลายปีนี้ เป็นร้านแบบสแตนอโลน บนพื้นที่ 250 ตารางเมตร แบ่งเป็นสินค้าประเภทอาหาร 60% และของอื่นๆ 40%
“นิชคุณ” พรีเซนเตอร์คนล่าสุด
สำหรับกลยุทธ์การตลาดในไทย ปีนี้เถ้าแก่น้อยได้ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดสแน็คประเภทสาหร่ายในไทย ด้วยการทุ่มงบ 40 ล้านบาท คว้า “นิชคุณ หรเวชกุล” สมาชิกวง 2PM มาเป็นพรีเซนเตอร์คนล่าสุด เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ทั้งในไทยและต่างประเทศ นอกจากนี้ยังได้เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ “หยิบคุณค่าจากทะเล” สร้างการรับรู้ไปยังกลุ่มเป้าหมายในเรื่องความอร่อยและประโยชน์ของสาหร่ายเถ้าแก่น้อย ภายใต้สโลแกนใหม่ “สาหร่ายเถ้าแก่น้อย อร่อยฟินๆ ได้คุณค่าจากสาหร่ายทะเล”
การได้นิชคุณเป็นพรีเซนเตอร์ ส่วนหนึ่งจะช่วยให้แบรนด์เข้าตลาดจีนได้มากขึ้น เพราะนิชคุณมีฐานแฟนคลับจีนค่อนข้างเยอะ โดยปัจจุบันเถ้าแก่น้อยทำตลาดอยู่ในกลุ่มเทียร์ 1 ของจีน ซึ่งครอบคลุมเมืองใหญ่กว่า 10 เมือง ความท้าทายของเถ้าแก่น้อยในปีนี้คือการบุกเมืองรอง หรือเทียร์ 2 ของจีนที่มีกว่า 20 เมือง
นอกจากจีนแล้ว บริษัทฯ ยังเดินหน้าทำตลาดในเวียดนาม และมาเลเซียเหมือนเดิม เพราะแบรนด์เถ้าแก่น้อยใน 2 ประเทศนี้ มีอัตราการเติบโตค่อนข้างดี 40-50% ต่อปี ติดต่อกัน 3 ปี ส่วนฟิลิปปินส์ แม้จะมียอดขายน้อยที่สุดในภูมิภาคเอเชีย บริษัทฯ กลับมองว่าเป็นโอกาสในการทำตลาดให้เติบโตได้มากกว่าเดิม
ด้วยกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งเหล่านี้ เถ้าแก่น้อยตั้งเป้าในปี 2024 ไว้ว่าจะก้าวสู่การเป็น Global Brand วางจำหน่ายสินค้าใน 100 ประเทศทั่วโลก และมียอดขาย 10,000 ล้านเหรียญ