ในอดีตคงไม่มีใครเคยคิดว่าอุปกรณ์ที่เรียกว่าโทรศัพท์มือถือจะถูกพัฒนาจนกลายเป็นสมาร์ทโฟนที่มีประสิทธิภาพเทียบคอมพิวเตอร์ ทั้งหมดล้วนแต่เกิดขึ้นมาจากจินตนาการและความเพ้อฝันว่าอนาคตการใช้ชีวิตจะเปลี่ยนไปในรูปแบบอย่างไร ด้วยอุปกรณ์ชนิดไหน อาทิเช่น ในอดีตที่จินตนาการถึงการสื่อสารผ่านทีวีแบบเห็นหน้ากัน ซึ่งปัจจุบันเป็นเรื่องปกติของการสื่อสารในรูปแบบ Video Call
ปัจจุบันเทคโนโลยี AR (Augmented Reality) และ VR(Virtual Reality) ในปี 2016 ทั่วโลกมีอัตราเติบโตแบบก้าวกระโดดเพิ่มขึ้นถึง 30% ด้วยมูลค่ารายได้ทั้ง 2 เทคโนโลยีราว 1.8 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ และยังมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่เพิ่งเริ่มต้นและยังสามารถพัฒนาต่อได้อีกยาวไกล โดยทั้ง 2 เทคโนโลยีเริ่มเป็นที่แพร่หลายในช่วงต้นปี 2016 ที่ผ่านมา
Michael Abrash หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ของ Facebook สำหรับวิจัยและพัฒนาอุปกรณ์ Oculus เชื่อว่า ในอนาคตอุปกรณ์สำหรับทั้ง 2 เทคโนโลยีจะสามารถพัฒนาขึ้นอีกมาก ทั้งการแปลภาษา การตัดเสียงรบกวนและการวัดอุณหภูมิ เป็นต้น โดยจะมีรูปแบบที่ใกล้เคียงแว่นตาที่ใช้แบบทั่วไปและไม่ใหญ่เทอะทะจนดูน่าเกลียด นอกจากนี้ยังเชื่อว่าในปี 2022 สมาร์ทโฟนอาจจะถูกรวมเข้ากับแว่นตาที่เป็นอุปกรณ์สำหรับเทคโนโลยี AR และ VR
โดยอนาคตจะเป็นไปตามที่ Abrash เชื่อหรือไม่ก็ต้องขึ้นกับการพัฒนาเทคโนโลยีในอีก 10-20 ปีนับจากนี้ นอกจากนี้ Abrash ยังเชื่อว่าในระยะเวลาไม่เกิน 5 ปีนี้เทคโนโลยีจะสามารถพลิกโฉมตลาดเฉกเช่นเดียวกับที่ Macintosh เคยยิ่งใหญ่ด้วยการทำให้คอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กและทุกคนสามารถใช้ได้แน่นอนว่าเมื่อ Facebook คาดการณ์ใน 5 ปีนี้เทคโนโลยี AR จะพลิกโฉม จึงเป็นความชัดเจนว่าช่วงเวลาดังกล่าว Facebook จะเร่งพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้สามารถก้าวไปพร้อมๆ กับสิ่งที่คาดการณ์ไว้
ปัจจุบันมีแว่นที่รองรับทั้ง 2 เทคโนโลยีแล้วโดยมีลักษณะใกล้เคียงแว่นตาที่ใช้โดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น Google Glass และ Microsoft Hololens ซึ่งในช่วงระยะเวลา 5 ปีนับจากนี้ จึงน่าจับตามองสำหรับอปกรณ์อย่างแว่นตาที่จะสนับสนุนเทคโนโลยี AR และ VR ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ Facebook เท่านั้นที่มองเห็น หากแค่คู่แข่งหลายๆ ค่าย อาทิ Snap, Magic Leap, Google และ Microsoft
จับตามองในช่วง 5 นับจากนี้ว่าจะเป็นจริงดังที่ Facebook คาดการณ์หรือไม่ แต่ถ้าสมาร์ทโฟนแปลงสภาพไปอยู่ในรูปแบบแว่นตาก็คงจะสะดวกไม่ใช่น้อย
Source: Business Insider