ปฏิเสธไม่ได้ว่าธุรกิจของ SCG เกี่ยวข้องกับเรื่องสิ่งแวดล้อมเกือบทุกผลิตภัณฑ์ ทำให้ SCG เดินหน้าสู่ Green Industry แบบเต็มกำลัง โดยมีเป้าหมายหลักในการนำทุกผลิตภัณฑ์ในเครือ SCG ปรับเปลี่ยนและพัฒนาสู่ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยที่ยังคงสามารถสร้างผลกำไรให้กับธุรกิจ และจะกลายเป็นต้นแบบของธุรกิจที่สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนควบคู่กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
สภาพเศรษฐกิจชะลอตัว
จากมุมมองของ คุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCG ที่มองว่า ในปี 2024 นี้ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่กระทบต่อเศรษฐกิจอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกและจีน ทั้งราคาน้ำมันที่ยังผันผวน อัตราเงินเฟ้อที่ยังไม่สิ้นสุดลง ภาวะสงครามที่ยังยืดเยื้อและ GDP ของไทยที่ยังไม่ฟื้นตัวดี ประกอบกับเศรษฐกิจเพื่อนบ้านยังได้รับผลกระทบอย่างเวียดนามที่กำลังประสบวิกฤติเศรษฐกิจภายใน หรือในกัมพูชาที่อิงเศรษฐกิจจีนเป็นหลัก ที่ส่งผลกระทบทางอ้อมต่อเศรษฐกิจไทย
แต่ก็ยังมีปัจจัยบวกที่ช่วยประคับประคองเศรษฐกิจไทย อย่างการกลับเข้ามาของนักท่องเที่ยว นักลงทุนต่างชาติที่ทยอยเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้น รวมไปถึงความแข็งแกร่งของเศรษบกิจไทยที่ยังรับภาวะความเสี่ยงต่างๆ ได้ดี รวมไปถึงการลงทุนจากภาครัฐในนโยบายและโครงการต่างๆ เริ่มมีมากขึ้น ซึ่งยังคงช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยให้ยังคงเดินหน้าต่อไปได้
ธุรกิจ Green ยังสร้างกำไรต่อเนื่อง
จากผลประกอบการของ SCG ในปี 2023 ที่ผ่านมา แม้ยอดขายจะลดลงจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ส่งผลต่อความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ลดลง 12% โดยมีรายได้ 499,646 ล้านบาท เป็นผลมาจากราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวลดลง และยังไม่ได้รวมยอดขายของ SCG Logistics ที่กำไร 25,915 ล้านบาทหรือเติบโต 21% แต่ SCG ก็ยังคงรักษาความมั่นคงของสถานะการเงินได้อย่างต่อเนื่อง โดยสิ้นปี 2023 SCG มีกระแสเงินสดถือไว้ 68,000 ล้านบาท
สำหรับปี 2024 SCG ทุกกลุ่มธุรกิจยังคงเร่งสร้างการเติบโตทั้งในไทยและภูมิภาคอาเซียน ด้วยการนำนวัตกรรมปูนคาร์บอนต่ำ, สมาร์ทโซลูชันเพื่อการอยู่อาศัย, พลาสติกรักษ์โลก, บรรจุภัณฑ์ยั่งยืนที่ใช้ซ้ำรีไซเคิลได้, พลังงานสะอาดครบวงจร และนวัตกรรมเม็ดพลาสติกคุณภาพสูงจากโครงการลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ ในเวียดนาม โดยเน้นการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ รองรับการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการบริการของไทย
คาดว่าตลาดอาเซียนจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในอินโดนีเซียและเวียดนาม ซึ่ง SCG ยังคงมุ่งสู่ผู้นำธุรกิจ Green ที่สร้างการเติบโตให้ธุรกิจพร้อมสร้างสังคม Net Zero ผ่านงบลงทุนกว่า 40,000 ล้านบาท ที่จะเน้นลงทุนนวัตกรรมรักษ์โลก พลังงานสะอาด และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สะท้อนจากยอดขาย SCG Green Choice ปี 2023 ที่มีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับ Green อยู่ที่ 54% ของยอดขายทั้งหมด
พร้อมทั้งยังเร่งพัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High-Value Added Products & Services – HVA) ที่จะช่วยเพิ่มความหลากหลายให้กับผลิตภัณฑ์ ตอบโจทย์ลูกค้าตรงใจ ฉับไว พร้อมเร่งปรับตัวโครงสร้างธุรกิจตามกลยุทธ์สร้างความคล่องตัว แข็งแกร่งและเติบโตระยะยาว รับความท้าทายต่างๆ ที่คาดการณ์ไม่ได้ให้ทันท่วงที เช่น ความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ส่งผลให้ต้นทุนพลังงานและค่าขนส่งผันผวน
SCGC เดินหน้าสู่ Green Polymer
โดยในส่วนของธุรกิจเคมิคอลส์ (SCGC) คาดว่าตลาดปิโตรเคมีจะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2024 จากความต้องการสินค้าที่เพิ่มมากขึ้นและอุปทานที่ลดลง โดยเร่งพัฒนาพลาสติกรักษ์โลก รวมทั้งสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (High-Value Added Products & Services – HVA) ให้มีสัดส่วนสูงขึ้น ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมาตลาดมีความต้องการมากขึ้น ส่งผลให้มียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 39% จากปีก่อน ซึ่งจะช่วยหนุนความสามารถการแข่งขันในภาวะตลาดฟื้นตัว
โดยล่าสุด “โครงการลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์” ในประเทศเวียดนาม หลังดำเนินการก่อสร้างเสร็จตามแผนที่กำหนดไว้ และการทดสอบเดินเครื่องจักรทั้งระบบเป็นไปด้วยดี คาดว่าจะสามารถดำเนินการผลิตได้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2024 สำหรับนวัตกรรมพลาสติกรักษ์โลก “SCGC GREEN POLYMER” ในปีที่ผ่านมามียอดขายเติบโตเป็นที่น่าพอใจ อยู่ที่ 218,000 ตัน เพิ่มขึ้น 56% จากปีก่อน
โดยมีเป้าหมายการผลิตมุ่งสู่ Green Polymer จำนวน 1 ล้านตันในปี 2030 นอกจากนี้ยังเร่งขยายเข้าสู่อุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ด้วยนวัตกรรมพลาสติกสำหรับการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์น้ำหนักเบา ช่วยประหยัดพลังงาน และยังได้ร่วมมือกับ Denka ในการผลิตและจำหน่ายอะเซทิลีนแบล็ก (Acetylene Black) ส่วนประกอบสำคัญในการผลิตขั้วแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนแบบชาร์จไฟได้สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าที่มีปริมาณความต้องการสูง
ส่งมอบโซลูชั่นและปูนคาร์บอนต่ำ
ด้าน ธุรกิจเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชัน ในปี 2023 มีการเพิ่มสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงทดแทนเข้ามาที่ 40% โดยในปี 2024 ยังคงเร่งเดินหน้าการผลิตและส่งมอบโซลูชันรองรับการฟื้นตัวของตลาดไทย ทั้งส่วนของอสังหาริมทรัพย์และโครงการก่อสร้างต่างๆ ควบคู่กับตอบสนองความต้องการของตลาดอาเซียนที่ส่งสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้น โดยมุ่งเน้นนำเสนอโซลูชันการออกแบบอาคารที่ช่วยคำนวณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในการก่อสร้าง
ผ่านแพลตฟอร์ม “KITCARBON” ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถรับรู้ผลการประหยัดพลังงานและการปล่อยก๊าซคาร์บอนของอาคาร รวมถึงยังเดินหน้าสร้างนวัตกรรม “ปูนคาร์บอนต่ำ” ที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนลงได้ถึง 10% โดยที่ผ่านมาได้รับการยอมรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งในด้านคุณภาพที่มีความแข็งแรง ทนทานและผิวเรียบเนียนเป็นพิเศษ โดยมียอดขายเพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อน
ล่าสุด มีการขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาและมาเลเซีย รวมถึงในปีนี้ยังเตรียมเปิดตัวปูนคาร์บอนต่ำ เจนเนเรชันที่ 2 ซึ่งลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้เพิ่มขึ้นจากรุ่นแรกอีก 5% ส่งผลให้ปูนคาร์บอนต่ำ เจนเนเรชันที่ 2 สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้สูงถึง 15%
ลดใช้พลังงานแบบสมาร์ทพร้อมลดฝุ่น
ในส่วนของ ธุรกิจเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ยังสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นไปที่การบริหารจัดการต้นทุนด้วยการปรับใช้พลังงานสะอาดในกระบวนการผลิต พร้อมทั้งพัฒนาสมาร์ทโซลูชันเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตยุคใหม่ที่ต้องการประหยัดพลังงาน นอกจากนี้ยังมีการพัฒนานวัตกรรม SCG Active Air Quality นวัตกรรมเติมอากาศดีให้บ้าน ป้องกันมลพิษและฝุ่น PM 2.5 เชื้อโรค แบคทีเรีย ไวรัส เพื่อให้มีสุขอนามัยที่ดี ห่างไกล PM 2.5 และมีความปลอดภัยในการใช้ชีวิต
หลังคาเอสซีจี เมทัลรูฟ รุ่น คอมฟอร์ท ลอน Snap Lock อีกหนึ่งนวัตกรรมหลังคาที่ช่วยป้องกันเสียงจากภายนอก และกันความร้อน ส่งผลให้สามารถช่วยประหยัดการใช้พลังงานภายในบ้าน และ SCG Solar Roof Solutions ที่มียอดขายเติบโตอย่างโดดเด่น โดยสามารถเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 105% จากปีก่อน นอกจากนี้ยังมีการพัฒนานวัตกรรมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
อย่างการติดตั้งนวัตกรรมบำบัดอากาศเสียพร้อมประหยัดพลังงาน SCG Air Scrubber ให้กับอาคาร Keppel Bay Tower โครงการอสังหาฯ ระดับโลกที่ใหญ่ที่สุดของประเทศสิงคโปร์ และเป็นอาคารแห่งแรกในสิงคโปร์ที่ได้รางวัล Green Mark Platinum (Zero Energy) หรือรางวัลอาคารประหยัดพลังงาน ซึ่งนวัตกรรมดังกล่าวช่วยประหยัดพลังงานจากระบบปรับอากาศได้สูงสุดถึง 30%
3 ธุรกิจเดินหน้า Green เต็มตัว
นอกจาก 3 ธุรกิจหลักที่กล่าวไปแล้ว SCG ยังเดินหน้า 3 ธุรกิจที่เหลือทั้ง ธุรกิจเอสซีจี ดิสทริบิวชั่น แอนด์ รีเทล ที่ขยายตลาดที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง อย่างภูมิภาค SAMEA (เอเซียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา) โดย SCG International ได้ตั้งสำนักงานในกรุงริยาด ซาอุดิอาระเบีย อย่างเป็นทางการ พร้อมเป็น International Supply Chain Partner บริหารจัดการตั้งแต่การหาแหล่งผลิตสินค้าไปจนถึงการสร้างตลาดให้คู่ค้าจากทั่วทุกมุมโลก รวมถึงการขยายโอกาสธุรกิจและเจาะโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ (Giga Project) เพื่อสร้างสังคม Net Zero ผ่านกลุ่มสินค้าซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างรักษ์โลก พร้อมด้วยกลุ่มสินค้าวัตถุดิบ
ด้าน ธุรกิจเอสซีจี คลีนเนอร์ยี่ ยังคงเน้นระบบพลังงานสะอาดครบวงจร โดยมีแนวโน้มขยายตัวได้อีกจากความต้องการใช้พลังงานสะอาดที่มากขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำของโลก ด้วยจุดแข็งของธุรกิจด้านการบริการที่มีความน่าเชื่อถือ โดดเด่นด้วยระบบ Smart Grid ที่ช่วยให้การซื้อ-ขายไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเข้าถึงได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยปี 2023 มีกำลังการผลิตรวม 450 เมกะวัตต์ ล่าสุดดำเนินการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ในหลายพื้นที่ อาทิ กลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม กลุ่มบริษัทสหยูเนี่ยน บางปะกง นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ รวมถึงกลุ่มโรงพยาบาลพญาไทและเปาโล พร้อมทั้งเตรียมขยายไปยังตลาดอาเซียน ทั้งเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ในปี 2024
และ ธุรกิจแพคเกจจิ้ง (SCGP) โดยช่วงไตรมาส 4 ปี 2023 ความต้องการภาคบริโภคในเวียดนามและอินโดนีเซียเริ่มฟื้นตัวได้เป็นอย่างดี รวมทั้งสินค้าส่งออกทั้งอาหารแช่แข็งและอาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งในปี 2024 อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น รวมถึงมีแผนกระตุ้นการท่องเที่ยวและการส่งออก SCGP โดยจะนำเสนอโซลูชันบรรจุภัณฑ์กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม พร้อมทั้งขยายกำลังการผลิตและ M&P (Merger & Partnership) ในธุรกิจวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ บรรจุภัณฑ์อาหาร และการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ Bio-Solutions ที่เป็นเมกะเทรนด์และเติบโตสูง
ควบคู่กับการบริหารต้นทุนและการผลิตสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ นำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการผลิตและเพิ่มสัดส่วนใช้พลังงานทางเลือกให้อยู่ที่ระดับ 35% ของการใช้พลังงานทั้งหมด เดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจเต็มกำลังด้วยกระบวนการทางด้าน ESG (Environmental, Social, Governance) และการพัฒนาบุคลากร เพื่อสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
คุณธรรมศักดิ์ ยังเสริมว่า เศรษฐกิจไทยเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดี ซึ่งมีโอกาสเติบโตอีกมาก หากมีการเร่งผลักดันโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ และอำนวยความสะดวกในการลงทุนเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ เหล่านี้จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้ควรส่งเสริมการดำเนินธุรกิจตาม ESG ที่ช่วยให้นักลงทุนทั่วโลกยอมรับ เพื่อสร้างการเติบโตระยะยาว
ล่าสุด SCG ยังได้รับดัชนีความยั่งยืนชั้นนำระดับโลก ESG Industry Top Rated ในลำดับที่ 1 จาก 125 บริษัทในกลุ่ม Industrial Conglomerate ทั่วโลก ซึ่งจัดอันดับโดย Morningstar Sustainalytics สะท้อนถึงธุรกิจที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งควบคู่กับการพัฒนาสังคมสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน จากการดำเนินธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ ESG 4 Plus (มุ่ง Net Zero – Go Green – Lean เหลื่อมล้ำ – ย้ำร่วมมือ – ภายใต้เชื่อมั่น โปร่งใส)