หลายคนอาจคาดการณ์เอาไว้แล้วว่า สหรัฐฯ คงจะต้องออกคำสั่งแบน TikTok แอปฯ วีดีโอสั้นที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในสหรัฐอเมริกา แต่หลายคนคงตกใจเล็กน้อยกับคำสั่งของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ออกคำสั่งให้แบนแอปฯ WeChat ร่วมไปด้วย ซึ่งหลายคนคงคิดเอาไว้แล้วว่า WeChat น่าจะเป็นรายต่อไป หลังจาก TikTok เพียงแต่ไม่คิดว่าจะรวดเร็วขนาดนี้
จริงๆ แล้วเรื่องราวนโยบายภาครัฐไม่ค่อยอยากไปยุ่งมากนัก แต่เพราะนโยบายภาครัฐมักจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจ นโยบายของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ก็เช่นกัน เมื่อจู่ๆ รัฐบาลสหรัฐฯ ก็แบน WeChat ร่วมกับการแบน TikTok นั่นเป็นเพราะ WeChat เป็นแอปฯ ที่มีการให้บริการในสหรัฐฯ โดยคำสั่งการแบนทั้ง TikTok และ WeChat เพื่อเป็นการป้องกันภัยคุกคาม
ซึ่งการแบนในครั้งนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่า เป็นการแบนเฉพาะในแผ่นดินสหรัฐฯ หรือการแบนในครั้งนี้จะรวมไปถึงธุรกิจสัญชาติสหรัฐฯ ที่ดำเนินการอยู่ในทุกประเทศทั่วโลกรวมไปถึงในประเทศจีนด้วย เพราะถ้าคำสั่งแบนมีผลแค่เฉพาะในแผ่นดินสหรัฐฯ ก็แทบจะไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อธุรกิจของสหรัฐฯ และธุรกิจของ Tencent (ในฐานะเจ้าของ WeChat) นั่นเป็นเพราะ WeChat ในสหรัฐฯ ให้บริการแค่แชทเท่านั้น
แต่ถ้าคำสั่งแบน WeChat รวมไปถึงธุรกิจสัญชาติสหรัฐฯ ที่ดำเนินการอยู่ในทุกประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศจีนจะกลายเป็นอีกเรื่องทันที เป็นที่ทราบกันดีว่าในประเทศจีนนิยมชำระเงินผ่าน WeChat และธุรกิจสัญชาติสหรัฐฯ ที่เข้าไปทำธุรกิจในประเทศจีน ก็ต้องรับชำระเงินผ่านระบบ WeChat ด้วยเช่นกัน นั่นหมายความว่าหากธุรกิจสัญชาติสหรัฐฯ แบน WeChat ในประเทศจีนก็เท่ากับโยนทิ้งกระเป๋าเงินตัวเองลงถังขยะ
ที่สำคัญหลายประเทศรวมถึงประเทศไทยเริ่มให้บริการชำระเงินออนไลน์ผ่านระบบ WeChat สำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีน นั่นหมายความว่าธุรกิจสัญชาติสหรัฐฯ ในหลายประเทศจะไม่สามารถรองรับการชำระเงินออนไลน์ผ่านระบบ WeChat ซึ่งในอนาคตเป็นไปได้ว่าสหรัฐฯ อาจจะแบน Alibaba (ผู้ให้บริการชำระเงินออนไลน์ผ่านระบบ AliPay) นั่นจะยิ่งเท่ากับตัดช่องทางการทำธุรกิจของธุรกิจสัญชาติสหรัฐฯ เอง
ตัวอย่างธุรกิจสัญชาติสหรัฐฯ รายใหญ่ที่เข้าไปทำธุรกิจในประเทศจีน อาทิ ไนกี้ (NIKE), เคเอฟซี (KFC), สตาร์บัค (Starbucks), ห้างวอลมาร์ท (Walmart) และ Amazon หากต้องแบน WeChat ในประเทศจีน ธุรกิจสัญชาติสหรัฐฯ เหล่านี้อาจได้รับผลกระทบอย่างน่าตกใจ เนื่องจากธุรกิจเหล่านี้จำเป็นต้องใช้ WeChat ในการดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการ ผ่านเทคโนโลยีการชำระเงินออนไลน์และการโฆษณาผ่าน WeChat
ขณะที่ Tencent ผู้ให้บริการ WeChat กลับแทบไม่ได้รับผลกระทบอันใด เนื่องจากรายได้หลักของ Tencent มาจากการให้บริการเกมในประเทศจีน ซึ่งมีสัดส่วนรายได้การให้บริการเกมสูงกว่ารายได้จาก WeChat โดยในปีที่ผ่านมาสำหรับห้าง Walmart ช่วยลดปริมาณการเข้าคิวชำระเงิน เมื่อมีการชำระผ่าน WeChat นอกจากนี้การชำระเงินผ่าน WeChat ยังช่วยให้ Transaction ของห้าง Walmart เพิ่มขึ้น 30%
เรียกว่างานนี้จีนแทบไม่ต้องทำอะไร คอยดูอยู่นิ่งๆ แล้วปล่อยให้เป็นไปตามกลไกของตลาด เพราะปัญหาจะไปตกอยู่ที่ธุรกิจที่นำระบบ WeChat ไปใช้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพฤติกรรมผู้บริโภคของชาวจีนที่นิยมชำระเงินผ่านระบบออนไลน์มากกว่าเงินสด ในขณะที่การชำระเงินผ่านระบบออนไลน์ยังไม่เป็นที่แพร่หลายในประเทศฝั่งตะวันตก
Source: Reuters