หากมองธุรกิจธนาคารในบ้านเรา แบรนด์หนึ่งที่จะไม่พูดถึงคงไม่ได้นั่นคือ ME by TMB ด้วยภาพลักษณ์ที่โดดเด่น แตกต่างและฉีกแนวมาตั้งแต่สมัยเปิดตัวแบรนด์ครั้งแรกเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา ME จึงถือเป็น Innovative Brand ลำดับต้นๆ ของวงการธนาคารในประเทศไทย ด้วยคอนเซ็ปต์ “Self Service Banking” ให้ลูกค้าทำธุรกรรมทุกขั้นตอนด้วยตัวเองเพื่อผลตอบแทนที่มากกว่า ตั้งแต่เปิดบัญชีที่เปิดได้ง่ายๆ ผ่านทางเว็บไซด์ ที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้ และหลังจากนั้นก็มายืนยันตัวตนเพื่อความปลอดภัยในการใช้บัญชี ที่สาขาของ ME พร้อมบัตรประชาชนและสมุดบัญชีออมทรัพย์ตัวจริงของคุณที่กรอกข้อมูลไว้ทางเว็บไซด์ ซึ่งนั่นนับเป็นการมาสาขาเพียงครั้งเดียวเท่านั้นของลูกค้า เพราะหลังจากนั้นผู้ที่มีบัญชี ME สามารถทำธุรกรรมทั้งฝากทั้งถอนได้ด้วยตัวเอง ผ่านอินเตอร์เน็ต ตู้อัตโนมัติ ATM ADM และยังสามารถโอนเงินผ่าน ME Call Center ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งถือเป็นความสะดวกสบายนอกเหนือจากการทำธุรกรรม online โดยไม่ต้องมีสมุดบัญชี แต่สามารถเช็ครายการเดินบัญชีทั้งหมดผ่านออนไลน์ได้แบบ real time
ด้วยความสะดวกสบายเหล่านี้ ลูกค้ายังได้รับดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นกว่าการออมปกติ เพราะ ME ให้เหตุผลว่า เมื่อคุณทำธุรกรรมด้วยตัวคุณเองแล้ว คุณควรจะได้ “มากกว่า” และคอนเซ็ปต์นี้นอกจากจะช่วยเพิ่มความคล่องตัวสะดวกสบายให้กับลูกค้าแล้ว ยังเป็นการประหยัดต้นทุนของธนาคารที่ไม่ต้องมีสาขามากมาย เพื่อเปลี่ยนมาเป็นผลตอบแทนที่มากกว่าอีกด้วย แล้วทำไม…ลูกค้าถึงไม่ควรได้ผลตอบแทนที่มากกว่า ด้วยเหตุนี้ ME จึงเป็นบัญชีเงินฝากประเภทเดียวในประเทศไทยตอนนี้ ที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่า 5 เท่าของบัญชีออมทรัพย์ทั่วไปแบบที่ไม่ซ่อนเงื่อนไขใดๆ ให้ปวดหัว เพราะไม่จำกัดขั้นต่ำ และฝากถอนเมื่อไหร่ก็ได้ นอกจากนี้ ลูกค้ายังไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่ม เช่น SMS alert ทุกครั้งที่ทำธรุกรรม พร้อมฟรีค่าธรรมการโอนเงินต่างธนาคาร 2 ครั้งต่อเดือน หรือแม้แต่ค่าธรรมเนียมการรักษาบัญชี
เมื่อ product เกิด การตลาดก็ย่อมเกิดตาม แน่นอนว่าด้วยคอนเซ็ปต์ของแบรนด์ที่แตกต่างจากผลิตภัณฑ์การเงินอื่นๆ แบบสุดโต่ง เราจึงมักพบเห็นกิจกรรมการสื่อสารแบรนด์และแคมเปญการตลาดของ ME ที่มาแปลกและแตกต่างจากธนาคารอื่นๆ อยู่บ่อยๆ
ที่ถูกกล่าวถึงมาตั้งแต่ต้นปี ก็เห็นจะเป็นแคมเปญ “Wake up your money with ME” ที่ถูกส่งเข้ามาเพื่อจุดกระแส “ปลุกเงิน” ในบัญชีออมทรัพย์ทั่วไป ที่โดยเฉลี่ยให้ดอกเบี้ยเพียง 0.5 % ซึ่งเปรียบเสมือนเงินที่นอนหลับอยู่ ให้มาตื่นรับดอกเบี้ยสูงกับ ME ที่ขยายผลจนเกิด Big Event ปลุกเงินก้อนใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งงานนี้ถูกบันทึกสถิติโลกโดย กินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ดส ไว้ด้วย
และอีกครั้งที่ ME เขย่าวงการอีกระลอก กับการสานต่อไอเดีย “ปลุกเงิน” มาสู่การเจาะลึกไปถึงก้นบึ้งของ Consumer Insight เพื่อให้โดนใจกลุ่มเป้าหมายด้วยความสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ที่แน่นอนว่า “เรื่องเงิน” ไม่ว่าจะวัยไหน ไลฟ์สไตล์ไหนก็คงหนีไม่พ้น ตั้งแต่กลุ่มไลฟ์ไตล์ที่มองถึงการให้รางวัลชีวิตไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว ซื้อของขวัญชิ้นสำคัญให้ตนเอง กลุ่มที่วางแผนเพื่ออนาคต ทั้งการซื้อรถ ซื้อบ้าน การวางแผนการลงทุนต่างๆ ซึ่งไม่ว่าจะมีรูปแบบการใช้ชีวิตแบบไหน ก็ต้องรู้จักการวางแผนการออมเงินและออมอย่างไรให้เหมาะสม ดังนั้น ME จึงส่งแคมเปญ “ถ้ายังไม่ใช้เงินตอนนี้ เก็บไว้ที่ ME ก่อน” ออกมาเขย่ากระปุกออมสินและเงินออมในบัญชีออมทรัพย์กับ Insight กระแทกใจที่ว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะใช้เงิน เราควรเลือกวิธีการออมเงินให้มีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มมูลค่าเงินที่วางแผนว่าจะใช้ แต่ยังไม่ใช้ตอนนี้ โดยให้มาเก็บไว้ที่ ME ก่อนจะเอาไปใช้ตามแผนที่วางไว้ เพื่อไม่เสียโอกาสที่จะทำให้เงินเรางอกเงย ตั้งแต่การออมแบบระยะสั้น เช่น “รอไปดูซากุระบานเดือนเมษาเก็บเงินไว้ที่ ME ก่อน” หรือ การออมในระยะยาว เช่น “เตรียมเปิดธุรกิจรับ AEC เก็บเงินไว้ที่ ME ก่อน” และอีกหลายๆ เวอร์ชั่นที่คุณคงได้พบเห็นกันไปแล้วตาม Digital Billboard ทั่วกรุงเทพฯ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา
ทั้งหมดนี้ สิ่งที่น่าสนใจกับปรากฏการณ์ครั้งนี้ คงต้องบอกว่า ME ไม่เคยทำให้ผิดหวังกับความกล้าที่จะคิดต่างและครั้งนี้คือความต่างที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะไม่ใช่เพียงสร้างแคมเปญการตลาด แต่ ME ต้องการสร้าง “พฤติกรรมการออมแบบใหม่” ให้เกิดขึ้น ถ้าให้พูดภาษาง่ายๆ คือ “นึกอะไรไม่ออก ให้เอาเงินมาเก็บไว้ที่ ME ก่อน” เพราะ ME ไม่ได้เป็นแค่บัญชีธนาคารที่มีไว้แค่เป็นที่เก็บเงิน แต่ ME เป็นเหมือนแหล่งลงทุนที่คุณจะสามารถเห็นดอกเบี้ยจากเงินออมของคุณเพิ่มได้ทุกวัน ในอัตราที่สูงกว่าบัญชีออมทรัพย์ธรรมดาทั่วไปถึงกว่า 5 เท่า ลองคิดเล่นๆว่า ด้วยเงินต้นที่เท่ากันฝากไว้ที่ ME 1 ปี จะได้รับดอกเบี้ยเท่ากับ ฝากไว้ที่บัญชีออมทรัพย์ทั่วไป 5 ปีเลยทีเดียว
ความแตกต่างที่ชัดเจนของ ME ทำให้ ME ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ในเรื่องของ Brand Awareness ที่ส่งผลต่อการเข้ามาใช้บริการของลูกค้าจนทำให้มีการเติบโตต่อเนื่องถึง 20% ต่อปี ซึ่งเกิดจากการเป็น Smart Brand ที่เข้ามาตอบโจทย์ Smart Saver ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้อย่างลงตัว