หลังผ่านพ้นวิกฤตโควิดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ผู้คนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตประกอบกับการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวส่งผลให้ธุรกิจอาหารกลับมาคึกคักอีกครั้ง เช่นเดียวกับ แมคโดนัลด์ ภายใต้การบริหารของบริษัทแมคไทย จำกัด ที่เปิดเผยถึงความสำเร็จของผลประกอบการของปี 2022 ซึ่งสร้างรายได้ทุบสติติในรอบ 10 ปี พร้อมกับประกาศสู้ศึกในธุรกิจอาหาร QSR ปักธงในปี 2023 ด้วยคอนเซ็ปท์ ‘Run For Growth’ ชูกลยุทธ์เป็นแบรนด์ที่ลูกค้ารักและเชื่อถือ พร้อมกับบุกตลาด Gen Z เพื่อเพิ่มยอดขายและตั้งเป้าเติบโตในปีนี้อีก 20%
พลิกกำไร-สร้างรายได้ทุบสถิติรอบ 10 ปี
โดยบริษัท แมคไทย จำกัด เปิดเผยว่า ประกอบการในปี 2022 ที่ผ่านมาเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยมีผลการดำเนินงานเติบโตกว่าปีก่อนหน้า 276% มีผลกำไรมูลค่ากว่า 120 ล้านบาท เป็นการพลิกกลับมาทำกำไรเป็นครั้งแรกในรอบ 3-4 ปี โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 4 ที่สร้างรายได้ต่อเดือนสูงเป็นประวัติการณ์ และสูงกว่าในช่วงเวลาเดียวกันตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา
คุณกิตติวรรณ อนุเวชสกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แมคไทย จำกัด เปิดเผยถึงเหตุผลของการเติบโตแบบก้าวกระโดดดังกล่าวว่า “จากปัจจัยของสถานการณ์โควิดที่คลี่คลาย รวมไปถึงการเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามายังประเทศ จึงเป็นโอกาสที่ดีของธุรกิจอาหารมีทิศทางที่เติบโตตาม โดยเฉพาะร้านสาขาในโซนท่องเที่ยวและสนามบิน บวกกับได้ปรับกลยุทธ์ทางการตลาดให้สอดคล้อง เข้าถึงคนไทย และรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน ที่มีกำลังซื้อกลับมา ไม่ว่าจะเป็นจากการให้บริการหน้าร้าน หรือดิลิเวอรี”
Run For Growth กลยุทธ์ในปี 2023-24
สำหรับกลยุทธ์สร้างความเติบโตอย่างต่อเนื่องของแมคโดนัลด์นั้น คุณกิตติวรรณ อนุเวชสกุล เปิดเผยว่าแมคฯ จะวางแผนการลงทุนทั้งระยะสั้นและระยะยาว ไม่ว่าจะดำเนินการขยายสาขาเปิดใหม่ และรีโนเวทร้านสาขาเดิมโดยปัจจุบันแมคโดนัลด์มีสาขาในไทยทั้งสิ้น 228 สาขา โดยในปีนี้คาดหมายว่าจะเปิดสาขาใหม่อีก 10-15 สาขาในพื้นที่ strategic location ที่มีกลุ่มเป้าหมายเข้ามาใช้บริการได้มากๆ ทั้งในและนอกกรุงเทพฯ พร้อมกับแผน Reimage ร้านอีก 30 สาขา ด้วยงบประมาณ 300 ล้านบาทภายใต้คอนเซ็ปต์ Alphabet ที่เน้นความยั่งยืน เรียบง่าย อบอุ่น และทันสมัย เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกผ่อนคลาย เข้าถึงแบรนด์ได้มากขึ้น พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนยุคใหม่ โดยทั้งหมดนี้จะดำเนินงานภายใต้ 3 กลยุทธ์ก็คือ
1. เปิดศึกท้าชนตลาดไก่ทอด จับเทรนด์เอาใจ Gen Z
คุณกิตติวรรณ ระบุว่าแม้แมคโดนัลด์ จะเป็นผู้นำในตลาดเบอร์เกอร์ด้วยการครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 แต่ยังต้องการเสริมจุดแข็งเรื่องความหลากหลายของเมนู และตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่นิยมบริโภคไก่ทอด ซึ่งก็ได้มีการศึกษาพัฒนารสชาติให้ถูกปากคนไทย สามารถรับประทานได้ทุกเพศ ทุกวัย ทั้งครอบครัว
สำหรับเมนูไก่ทอดของแม็คโดนัลด์ ปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วนรายได้ราว 17% ขณะที่พอร์ตตลาดไก่ทอดในประเทศไทยค่อนข้างใหญ่มูลค่าประมาณ 25,000 ล้านบาท มีการแข่งขันสูง ขณะที่คุณกิตติวรรณ ระบุว่า แมคโดนัลด์ตั้งเป้าแข่งขันกับตัวเองโดยคาดหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากไก่ทอดให้ไปถึง 25-30%
“เราให้ความสำคัญกับการรับฟังเสียงผู้บริโภค มีการคัดสรรผ่านกระบวนการต่างๆ อย่างพิถีพิถัน พัฒนาปรับปรุงเพื่อให้ได้แมคไก่ทอดที่กรอบนุ่มฉ่ำด้วยรสชาติของความอร่อยถูกใจชาวไทย พร้อมเสริม กลยุทธ์ในการ Connect กับกลุ่มคนรุ่นใหม่หรือกลุ่ม Gen Z ผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นเทรนด์อยู่อย่างต่อเนื่อง” คุณกิตติวรรณ ระบุ
2.เน้นความคุ้มค่า (Value for Money)
คุณกิตติวรรณ ระบว่า เรื่องความคุ้มค่ายังคงเป็นเรื่องที่แม็คโดนัลด์จะให้ความสำคัญต่อไปเพื่อทำให้เข้าถึงลูกค้าได้ทุกกลุ่ม ซึ่งที่ผ่านมาในปี 2022 ก็มีการจัดโปรโมชั่นที่น่าดึงดูด อาทิเช่น ชุด EVM 99 บาท ซึ่งสร้างการเติบโตด้วยมูลค่ากว่า 25 ล้านบาทต่อเดือน หรืออัตราการเติบโต +150% คิดเป็นสัดส่วนยอดขาย 8.2 % ของยอดขายในสินค้าทั้งหมด นอกจากนั้นยังมีโปรโมชั่นจับคู่ McSaver 55 บาท ที่ครองใจตลาดกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นอีกด้วย
3.ยังเน้นความล้ำ (EotF – Experience of the Future)
อีกกลยุทธ์ที่แมคโดนัลด์จะเดินหน้าต่อก็คือ ประสบการณ์สู่ความทันสมัย ( EotF – Experience of the Future ) ทั้งการบริการเสิร์ฟอาหารที่โต๊ะ (Table Service) และมีน้องพนักงานต้อนรับ (GEL – Guest Experience Leader) เสมือนเป็นผู้ช่วยที่คอยบริการลูกค้าทุกเรื่องในร้าน นวัตกรรมต่างๆที่ใช้ในร้านอาหาร อาทิ บริการเครื่องสั่งอาหารอัตโนมัติ (SOK) และบริการชำระเงินแบบไร้เงินสด ตลอดจนถึงบรรยากาศการตกแต่งร้านที่ทันสมัยน่านั่งขึ้น มีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนยุคใหม่ เช่น ปลั๊กไฟ และ Free WiFi และต้อนรับลูกค้าที่จะมานัดพบ นั่งพูดคุยหรือทำงานเป็นเวลานานด้วย โดยทั้งหมดนี้จะอยู่ภายใต้แนวทาง 3D ของแมคโดนัลด์ นั่นก็คือ Delivery, Drive Thru และ Digital อย่างต่อเนื่อง
- Delivery – เน้นสร้างกลยุทธ์ด้วยแคมเปญทางการตลาดในการทำงานร่วมกันกับพันธมิตรผู้ให้บริการจัดส่งอาหาร ตลอดจนให้ความสำคัญในการบริการแก่กลุ่มไรเดอร์ ด้วยการอำนวยความสะดวกสบายจัดพื้นที่ในการรอเป็นสัดส่วน พร้อมบริการเครื่องดื่ม จุดชาร์จแบตเตอรี่มือถือ และที่จอดรถรองรับ
- Drive Thru – พัฒนาความรวดเร็วของการให้บริการไดร์ฟ ทรู ทั้ง 83 สาขา อย่างต่อเนื่องด้วยการจัดกิจกรรม ‘ไดรฟ์ทรู ชาเลนจ์’ เป็นประจำทุกเดือนโดยให้ลูกค้าได้ร่วมสนุกกับเกมแข่งจับเวลาขณะใช้บริการอิ่มอร่อยโดยไม่ต้องลงจากรถ
- Digital – ให้ความสำคัญกับดิจิทัลผ่านแมคโดนัลด์ แอปพลิเคชัน ที่มีจำนวนผู้ใช้มากกว่า 3 ล้านคนหลังเปิดใช้มา 3 ปี โดยเน้นการใช้ดิจิทัลเพื่อเพิ่มความถี่ในการใช้บริการที่หน้าร้านและสร้าง engagement กับลูกค้า ส่งความคุ้มค่าผ่านแอปคูปอง ที่มอบสิทธิประโยชน์ที่มากมายแก่สมาชิก พัฒนาเชื่อมโยงทุกแพลตฟอร์มเข้าด้วยกันเพื่อความทันสมัยและรวดเร็ว
นอกจากนี้แม็คโดนัลด์ ยังเน้นพัฒนาบุคลากรเพื่อให้ทำงานด้วยความสุขและส่งมอบความสุขตอให้กับลูกค้าภายใต้วัฒนธรรมองค์กร ‘McDonald’s Thailand The Growth Value’ ขณะที่พนักงานทุกคนไม่ว่าจะในส่วนของร้านสาขา (Restaurant) หรือในส่วนของสนับสนุนร้าน (Restaurant Support Center – RSC) จะผ่านการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพในการทำงานอย่างเข้มข้นและหลากหลาย
นอกจากนี้เรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมแมคไทยยังคงเป็นผู้สนับสนุนหลักของ มูลนิธิ โรนัลด์ แมคโดนัลด์ เฮาส์ ประเทศไทย ซึ่งดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่องผ่าน 3 โครงการหลัก ได้แก่ บ้านพักพิงโรนัลด์ แมคโดนัลด์ เฮาส์ ที่ให้บริการที่พักแก่ครอบครัวผู้ป่วยเด็กไปแล้วมากกว่า 26,000 คน ตั้งแต่ปี 2554-2566 ห้องสันทนาการเด็กโรนัลด์ แมคโดนัลด์ (Ronald McDonald Playroom) ปัจจุบันมีห้องดังกล่าว ณ โรงพยาบาลของรัฐและสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า จำนวน 38 ห้อง ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด หน่วยรถทันตกรรมเคลื่อนที่โรนัลด์ แมคโดนัลด์ (Ronald McDonald Dental Care Unit) ภายใต้โครงการ “สุขภาพดีใต้ร่มพระบารมี” ซึ่งตั้งแต่ปี 2558-ปัจจุบัน ให้บริการตรวจรักษาฟันไปแล้วมากกว่า 42,000 คน
“ปัจจุบันเรามีสาขาทั้งสิ้น 228 สาขา และมีแผนเปิดสาขาใหม่ภายในปีนี้อีกประมาณ 10-15 สาขา โดยจะเน้น strategic location ที่มีกลุ่มเป้าหมายเข้ามาใช้บริการได้มากๆ ทั้งในและนอกกรุงเทพฯ โดยพิจารณาปริมาณความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก พร้อมกันนี้ยังมุ่งหวังการเติบโตในปีนี้ว่าจะสูงขึ้นอีกกว่า 20% จากสถานการณ์ที่ผ่านมาได้ให้บทเรียนและความท้าทายมากมายของการดำเนินธุรกิจ แต่เรายังคงมุ่งมั่นพัฒนาสร้างประสบการณ์ และความคุ้มค่าให้กับลูกค้าในทุกมิติ รวมไปถึงศึกษาพัฒนาการแนวคิดทางธุรกิจสู่การขับเคลื่อนองค์กรสู่ความรับผิดชอบสังคมอย่างยั่งยืนเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับธุรกิจและสังคมต่อไป” นางสาวกิตติวรรณ กล่าวสรุป