หลังการเมิร์จควบรวมกิจการเป็นที่เรียบร้อยระหว่าง LINE MAN และ Wongnai เมื่อเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา ซึ่งก่อนหน้านี้ยังไม่มีการเปิดเผยในรายละเอียด ถึงวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจ ล่าสุด “ยอด ชิสุภัคกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือ ซีอีโอ บริษัท ไลน์แมน วงใน เปิดเผยเป็นครั้งแรกถึงแผนธุรกิจ 3 ปี โดยตั้งเป้าว่า จะเดินหน้าสู่การเป็น Food Platform อันดับหนึ่ง ด้วยการสร้าง End-to-End Ecosystem ที่แข็งแกร่งที่สุดของไทย
หลังจากระดมทุนไปด้วยเงินลงทุนมูลค่า 3,300 ล้านบาท (110 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) จาก BRV Capital Management ซีอีโอ ไลน์แมน วงใน เปิดเผยถึงเหตุผลที่ทำการควบรวกิจการครั้งสำคัญนี้ว่า ที่ผ่านมา LINE MAN และ Wongnai ร่วมงานเป็นพันธมิตรกันมานาน และมีเป้าหมายเดียวกันนั่นก็คือการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับ Ecosystem ของ Online-to-Offline ที่สมบูรณ์ที่สุด สำหรับทั้งผู้ใช้งาน และร้านอาหาร เพื่อสร้างทำให้ธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว
แผนธุรกิจในระยะเวลา 3 ปี
- แผนระยะสั้น (ในเวลา 1 ปี) โดยจะเน้นโฟกัสไปที่การทำงานร่วมกันเพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดให้แก่ทุกฝ่ายในธุรกิจ โดยเฉพาะฟู้ดเดลิเวอรี่ ซึ่งประโยชน์ของการควบรวมกิจการครั้งนี้ จะทำให้ผู้ใช้งานสามารถสั่งอาหารได้หลากหลายมากที่สุด และมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการสั่งอาหารเพิ่มขึ้น พร้อมด้วยการบริการค่าจัดส่งฟรี ในระยะทาง 3 กิโลเมตร รวมทั้งแผนการขยายพื้นที่ให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่ไปยังหัวเมืองใหญ่และหัวเมืองเล็ก นอกจากนี้ ในส่วนพันธมิตรที่เป็นร้านอาหาร จะได้เห็นฟรีเจอร์ O2O ใหม่ๆ เช่น การเชื่อมต่อกับ LINE Official Account, Mini App (การใช้ LINE MAN โดยไม่ต้องโหลดแอปฯ แต่ใช้งาน LINE ได้เลย) , Smart Menu และ Self Promotion ฯลฯ เพื่อช่วยให้ร้านค้ามีเครื่องมือใหม่ๆ ในการทำการตลาดและการขายให้ดียิ่งขึ้น
- แผนระยะกลาง (ในเวลา 3 ปี) มุ่งสู่การเป็นแพล็ตฟอร์มด้านอาหารอันดับ 1 ของประเทศไทย ด้วยการสร้าง ecosystem ด้านอาหารที่สมบูรณ์ที่สุด ซึ่งจะเกิดได้จากความเข้าใจผู้บริโภคคนไทย และการผนวกเอาความแข็งแกร่งของแพล็ตฟอร์ม ทั้ง 3 แพล็ตฟอร์ม ได้แก่ LINE, LINE MAN และ Wongnai เข้าด้วยกัน
“มีคำถามอยู่เสมอในแวดวงสตาร์ทอัพว่า เมื่อไหร่ประเทศไทยจะมีสตาร์ทอัพที่เป็น ‘ยูนิคอร์น’ กับเขาเสียที ดังนั้น ผมมองว่า ธุรกิจฟู้ด โดยเฉพาะฟู้ดเดลิเวอรี่ น่าจะเป็นปราการด่านสุดท้ายของประเทศไทย เป็นโอกาสที่น่าสนใจที่ไทยเราจะได้สร้างยูนิคอร์น สำเร็จกับเขาได้บ้าง นั่นคือมิสชั่นสำคัญของเราใน 3 ปีเช่นกัน”
2 กลยุทธ์ สำคัญที่ LINE MAN Wongnai จะลุยใน 3 ปี
- O2O Integrated Features เพื่อสร้างให้ ecosystem ของธุรกิจฟู้ดเติบโต โดยทุกฝ่ายต้องได้ประโยชน์ไปพร้อมกันทั้งร้านค้า ผู้บริโภค และผู้ให้บริการ โดยจะพัฒนา ดังต่อไปนี้
- E-Payment จ่ายผ่านบัตร Rabbit หรือผ่านบัตร LIINE Pay ก็ได้
- Smart Menu ให้บริการแสกนเมนูได้เลยที่โต๊ะ ไม่ต้องดูเป็นเล่มๆ อีกต่อไป
- Mini App
- LINE OA Integration ใช้ฐานผู้ใช้งานของ LINE มาช่วยผลักดันการใช้งานมากขึ้น และช่วยให้ร้านอาหารทำการตลาดได้ง่ายขึ้น
- การขยายฐานลูกค้าสู่ต่างจังหวัด ทั้งหัวเมืองใหญ่ และหัวเมืองเล็ก โดยปัจจุบันบริการจัดส่งอยู่ 13 จังหวัด (รวมกรุงเทพฯ) และเตรียมที่จะขยายไปให้ถึง 20 จังหวัด ภายในสิ้นปีนี้ โดยนอกเหนือทีมจัดส่งของ LINE MAN แล้วก็ยังผนึกกำลังร่วมกับ La La Move ด้วย
ปัจจุบันมูลค่าตลาดอาหารและเครื่องดื่ม (Food & Beverage) ปี 2019 อยู่ที่ 7 แสนล้านลาบ และมีค่าเฉลี่ยในการเติบโตอยู่ที่ 2-4% ในขณะที่มูลค่าตลาดฟู้ดเดลิเวอรี่ (ตัวเลขปี 2019) อยู่ที่ 35,000 ล้านบาท โดยที่คาดการณ์ว่าตลาดฟู้ดเดลิเวอรี่ในปี 2019-2020 จะเติบโตขึ้น 84% แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ในช่วงไตรมาส 1 ก็ทำให้ตัวเลขของการเติบโตในตลาดฟู้เดลิเวอร์รี่เพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 84% ไปแล้ว
ทั้งนี้ LINE MAN ปัจจุบันมียอดดาวน์โหลดแอปฯ มากกว่า 9 ล้านคน และมี active user อยู่ที่ 3 ล้านคนต่อเดือน และมีร้านค้าที่เข้าร่วมอยู่ประมาณมากกว่า 200,000 ร้าน
ในขณะที่ Wongnai ไลฟ์สไตล์แอปฯ มียอด active user อยู่ที่ 10 ล้านคนต่อเดือน และมีผู้เข้าชมเว็บไซต์อยู่ที่ 21 ล้านคนต่อเดือน มีร้านค้าที่เข้าร่วมอยู่ประมาณ 430,000 ร้าน และมีการอัปโหลดข้อมูลรีวิวร้านอาหารอยู่ประมาณ 15 ล้านครั้งต่อเดือน
อย่างไรก็ตาม ภายใน 3 ปี “บริษัท ไลน์แมน วงใน” (LINE MAN Wongnai) จากนี้ไปจะใช้ชื่อนี้ในการดำเนินธุรกิจ จะโฟกัสการทำธุรกิจในประเทศไทยเป็นหลัก โดยจะยังไม่พูดถึงการขยายตลาดไปในต่างประเทศ รวมทั้งขอพับแผนการเข้าตลาดหุ้นเอาไว้ก่อน แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะทิ้งแผนดังกล่าวไปเลย ในขณะที่พนักงานที่ทำงานอยู่ที่ LINE MAN ซึ่งเดิมออฟฟิศอยู่ที่อาคารเกสรทาวเวอร์ จะย้ายไปรวมกับ Wongnai ที่ตึก T1 โดยปัจจุบันมีพนักงานรวมกันประมาณ 600 คน.