ธนาคารกสิกรไทยปรับโครงสร้างคณะกรรมการธนาคารตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีสอดคล้องมาตรฐานสากล โดยคณะกรรมการมีมติปรับลดขนาดของคณะกรรมการจากเดิม 18 ท่าน เหลือ 15 ท่าน โดยจะมีสัดส่วนของกรรมการอิสระเพิ่มขึ้นเกิดกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด เพื่อสอดคล้องกับมาตรฐานสากล
โดย คุณกฤษณ์ จิตต์แจ้ง เลขานุการบริษัท ธนาคารกสิกรไทย (Kbank) กล่าวถึงผลการประชุมคณะกรรมการธนาคารกสิกรไทยเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2567 ซึ่งที่ประชุมมีมติปรับโครงสร้างคณะกรรมการธนาคาร โดยปรับลดขนาดของคณะกรรมการจากเดิมที่มี 18 ท่าน ให้ลดลงเหลือจำนวนกรรมการทั้งสิ้น 15 คน
เป็นการปรับลดจำนวนกรรมการที่ไม่เป็นผู้บริหารและกรรมการที่เป็นผู้บริหารลงจำนวน 6 คน และจะมีการสรรหากรรมการใหม่ ซึ่งจะทำให้มีคณะกรรมการมีจำนวนทั้งสิ้นไม่เกิน 15 คน และมีสัดส่วนของกรรมการอิสระเกินกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด
สำหรับกรรมการธนาคารจำนวน 6 คน ที่แจ้งลาออก แบ่งออกเป็น
- นายสาระ ล่ำซำ ลาออกจากตำแหน่งกรรมการที่ไม่เป็นผู้บริหาร รวมถึงตำแหน่งในคณะกรรมการชุดย่อยต่างๆ
- นายสุรช ล่ำซำ ลาออกจากตำแหน่งกรรมการที่ไม่เป็นผู้บริหาร รวมถึงตำแหน่งในคณะกรรมการชุดย่อยต่างๆ
และกรรมการผู้จัดการของธนาคารทั้ง 4 คน ประกอบด้วย
- นายพิพิธ เอนกนิธิ ลาออกจากตำแหน่งกรรมการที่เป็นผู้บริหาร (มีอำนาจลงนามผูกพัน) และกรรมการผู้จัดการธนาคาร
- ดร.พิพัฒน์พงศ์ โปษยานนท์ ลาออกจากตำแหน่งกรรมการที่เป็นผู้บริหาร (มีอำนาจลงนามผูกพัน) และกรรมการผู้จัดการธนาคาร
- นายจงรัก รัตนเพียร ลาออกจากตำแหน่งกรรมการที่เป็นผู้บริหาร (มีอำนาจลงนามผูกพัน) และกรรมการผู้จัดการธนาคาร
- นายรุ่งเรือง สุขเกิดกิจพิบูลย์ ลาออกจากตำแหน่งกรรมการที่เป็นผู้บริหาร (มีอำนาจลงนามผูกพัน) และกรรมการผู้จัดการธนาคาร
โดยกรรมการทั้ง 6 คนข้างต้นจะดำรงตำแหน่งถึงวันที่ 30 เมษายน 2567 นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการธนาคาร ยังได้มีมติแต่งตั้งให้กรรมการผู้จัดการทั้ง 4 คนข้างต้น ดำรงตำแหน่ง ผู้จัดการใหญ่ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป
รวมทั้งคณะกรรมการได้มีมติกำหนดชื่อและจำนวนกรรมการซึ่งมีอำนาจลงลายมือชื่อแบ่งเป็น
- นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
- นางสาวสุจิตพรรณ ล่ำซำ รองประธานกรรมการ
- นางสาวชนม์ชนัมม์ สุนทรศารทูล กรรมการและที่ปรึกษากฎหมาย
- นายกลินท์ สารสิน กรรมการที่ไม่เป็นผู้บริหาร
โดยกรรมการ 2 ใน 4 คนนี้ ลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราสำคัญของธนาคาร
การปรับโครงสร้างคณะกรรมการดังกล่าว นอกจากจะสอดคล้องกับหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีตามมาตรฐานสากลแล้ว ยังสามารถเพิ่มความเชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขาที่จะเสริมการกำกับดูแลกิจการ และเพิ่มความแข็งแกร่งของธนาคารเพื่อส่งมอบยุทธศาสตร์ K-Strategy ต่อไปในระยะกลางและระยะยาว ภายใต้สภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
K-Strategy ยุทธศาสตร์ 3+1
สำหรับยุทธศาสตร์ 3+1 หรือ K-Strategy เป็นยุทธศาสตร์ที่จะช่วยสร้างการเติบโตและความยั่งยืนให้กับธนาคาร พร้อมยกระดับการดูแลผู้ใช้บริการธนาคารกสิกรไทย โดยแบ่งออกเป็น 3 ด้านและการเติบโตผ่านธุรกิจใหม่ ประกอบไปด้วย
- ยกระดับ-เพิ่มประสิทธิภาพด้านสินเชื่อ โดยจะมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์สินเชื่อไปยังกลุ่มผู้ใช้บริการที่ยังไม่เคยใช้บริการด้านสินเชื่อ รวมถึงการทำ CRM เพื่อรักษากลุ่มผู้ใช้บริการสินเชื่อของธนาคารเพื่อลดปัญหาหนี้เสียที่จะเกิดขึ้น
- เพิ่มรายได้จากค่าธรรมเนียม ด้วยการนำเสนอบริการผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุนในกลุ่ม Wealth อย่างครอบคลุมและครบวงจร เพื่อสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน รวมไปถึงการตอกย้ำผู้นำด้านการชำระเงินทางดิจิทัล พร้อมยกระดับนวัตกรรมด้านความปลอดภัย สะดวกและง่าย รองรับทุกธุรกรรมทางการเงิน
- เสริมความแข็งแกร่งช่องทางต่างๆ ผ่านนโยบายด้าน Digital First เพื่อสอดรับกับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป ผ่านแอปฯ K PLUS โดยยังคงให้ความสำคัญในเรื่องของความปลอดภัย และความร่วมมือกับแพลตฟอร์มอื่นๆ โดยตั้งเป้าขยายการใช้งาน K PLUS เติบโต 20%-30% ในปี 2569
- แสวงหาการเติบโตผ่านธุรกิจใหม่ เพื่อหาโอกาสสร้างรายได้ใหม่ในระยะกลางถึงระยะยาว โดยเฉพาะรายได้จากต่างประเทศอย่าง จีน เวียดนาม และอินโดนีเซีย พร้อมขยายการลงทุนผ่านบริาทในเครืออย่าง กสิกร อินเวสเตอร์ (KIV) และ กสิกรเอ็กซ์ (KX) ในการพัฒนานวัตกรรมและบริการใหม่ โดยตั้งเป้า 5 ปีจะมีสัดส่วนกำไรจากกลุ่มธุรกิจใหม่ราว 5%
กลยุทธ์ดังกล่าวมีเป้าหมายในการเติบโตอย่างยั่งยืนในทุก StakeHolder ทั้งผู้ใช้บริการที่ได้รับความสะดวกสบย ผู้ถือหุ้นทีได้รับผลตอบแทนอย่างเหมาะสมและยั่งยืน พนักงานที่ได้เรียนรู้และสร้างการเติบโตร่วมกัน และสังคมสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการพัฒนาประเทศ
