ในโลกดิจิทัลความเร็วถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจองค์กร ใครที่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ไว โดยเฉพาะข้อมูลด้านพฤติกรรมผู้บริโภคย่อมได้เปรียบกว่า แต่ในปัจจุบันข้อมูลส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในต่างประเทศ ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นล้วนแต่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อกับพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศ อาทิ ระบบ AI, ระบบ Machine Learning เป็นต้น และยังเป็นความเสี่ยงสำหรับธุรกิจองค์กรหากระบบการสื่อสารตัดขาดกัน
นั่นจึงป็นที่มาของการพัฒนา Platform สำหรับคนไทย เพื่อคนไทย โดยคนไทย และให้ข้อมูลที่สำคัญยังอยู่ในประเทศไทย โดยบริษัท อินเตอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ไอเน็ต (INET) ได้เตรียมแผนการก่อสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Center – DC) บนพื้นที่ความเสี่ยงต่ำอย่างดินแดนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งถือว่าเป็นแผ่นดินที่ราบสูงและยังเป็นดินแดนที่ไม่มีแนวแผ่นดินไหวพาดผ่าน
นายวัลล์ชัย เวชชีวดำรงค์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเตอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) ชี้ว่า “ประเทศไทยมีพื้นที่ในการจัดทำ Data Center อยู่น้อยกว่าประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะสิงคโปร์ ทั้งที่ประเทศสิงคโปร์เป็นเพียงเกาะ ในขณะที่ประเทศไทยมีพื้นที่ในการสร้าง Data Center อยู่จำนวนมาก และ Data Center จะเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาไปสู่เทคโนโลยี IoT และการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล”
แน่นอนว่าระบบ AI และระบบ Machine Learning จำเป็นต้องเรียนรู้ข้อมูลจำนวนมาก เพื่อเพิ่มประสบการณ์และการตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ การที่ข้อมูลส่วนใหญ่ในประเทศไทยถูกนำไปฝากไว้ในต่างประเทศ จะช่วยให้ระบบ AI และระบบ Machine Learning ในต่างประเทศมีความฉลาดมากยิ่งขึ้น ขนาดที่ระบบ AI และระบบ Machine Learning ในประเทศไทยที่ไม่ได้รับข้อมูลในส่วนนี้ จะไม่สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงที่ผ่านมา INET ยังเปิดเผยว่า กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ที่ผ่านมาจะเป็นกลุ่ม SME และกลุ่มธุรกิจขนาดกลาง ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มจะเป็นกลุ่มที่มีความต้องการใช้เทคโนโลยีคลาวด์อย่างมาก แต่ยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องของราคา โดยคุณวัลล์ชัยอธิบายว่าธุรกิจยิ่งเล็กยิ่งสนใจในเรื่องของโครงสร้างระบบไอทีน้อย เพราะไม่ต้องการลงทุนสูง แต่กลับต้องการใช้ระบบไอทีเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้า
สำหรับ Platform ที่ INET ตั้งเป้าให้เกิดขึ้นในประเทศไทยมีชื่อว่า “One Platform” ซึ่งจะเชื่อมโยงทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชน โดยจะเน้นไปที่ความเชื่อมั่นทั้ง 4 ด้านทั้งด้านการระบุตัวตน ด้านความร่วมมือ ด้านเอกสารอิเลคทรอนิกส์และด้านการยืนยันตัวตน ผ่าน 3 Platform ทั้ง e-Mail ที่จะใช้ @mail.one.th ทั้งพื้นที่จัดเก็บข้อมูลบนระบบคลาวด์และทั้งการแชท ที่กำลังพัฒนาเพื่อให้สามารถไปสู่รูปแบบเดียวับ WeChat