กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ที่คนไทยหลายคนคุ้นชื่อและรู้จักดี ออกมาปรับลดอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยก่อนหน้านี้ IMF คาดการณ์เศรษฐกิจทั้งโลกจะเติบโต 6% ในปีนี้ แต่หลังพบอัตราการฉีดวัคซีนที่เหลื่อมล้ำอย่างมากระหว่างประเทศที่ร่ำรวยและประเทศที่ยากจน ประกอบการกับสถานการณ์โรคระบาดยังไม่คลี่คลายในบางประเทศ ส่งผลต่อการขาดแคลนแรงงานในกระบวนการผลิตของประเทศอุตสาหกรรม ส่งผลให้ IMF ปรับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกลดลงเหลือเพียง 5.9%
โดย IMF มองว่า แม้สถานการณ์โรคระบาดทั่วโลกกำลังอยู่ในช่วงคลี่คลาย แต่หลายประเทศที่อยู่ในสถานะยากจนกำลังเผชิญกับวิกฤติการเข้าถึงวัคซีนซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจ โดยช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจของกลุ่มมหาอำนาจเติบโตเฉลี่ย 5.2% ขณะที่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่มีรายได้ต่ำมีอัตราเติบโตเฉลี่ยเพียง 3% เมื่อเทียบอัตราการเข้าถึงวัคซีนของกลุ่มประเทศรายได้สูงมีถึงเกือบ 60% ของประชากร ขณะที่กลุ่มประเทศรายได้ต่ำเข้าถึงวัคซีนเพียง 4% ของประชากร ซึ่ง IMF คาดการณ์เศรษฐกิจทั่วโลกจะดีขึ้นควรฉีดวัคซีนให้ได้ 40% ของประชากรโลกในสิ้นปีนี้ และต้องฉีดวัคซีนให้ได้ถึง 70% ของประชากรโลกในช่วงกลางปีหน้า
นอกจากเรื่องของอัตราการฉีดวัคซีนที่ต่ำในประเทศยากจนแล้ว สอ่งที่ปีะเทศยากจนจะต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม้ได้คือปัญหาเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น ส่งผลต่อราคาอาหารที่จะปรับตัวสูงขึ้นในขณะที่รายได้เท่าเดิมหรือลดลง IMF มองว่าประเทศที่ร่ำรวยอย่างสหรัฐฯ ควรปฏิบัติตามพันธกรณีทในการจัดหาวัคซีนที่เหมาะสมให้กับประเทศที่ยากจนกว่า IMF ยังคาดการณ์อีกว่า หากโรคระบาดยังยืดเยื้อต่อไป จะส่งผลต่อผลผลิตทั่วโลกลดลง 5.3 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 5 ปีข้างหน้า
IMF คาดผลผลิตทั่วโลกในปีนี้จะเพิ่มขึ้น 5.9% เมื่อเทียบกับผลผลิตทั่วโลก 3.1% ในปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากการระบาดใหญ่ โดยปี 2565 IMF คาดว่าผลผลอตทั่วโลกจะมีการขยายตัว 4.9% โดยมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเติบโต 6% ในปีนี้และจะเติยโตถึง 5.2% ในปีหน้า ขณะที่ 19 ประเทศในกลุ่ม EU คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 5% ในปีนี้และในปีหน้าจะขยายตัวถึง 4.3% ด้านประเทศจีน IMF คาดว่า เศรษฐกิจจะเติบโตที่ 8% ในปีนี้ ปละจะขยายตัวถึง 5.6% ในปีหน้า
Source: New York Times , Al-Jazeera , Japan Today