หากย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว การนำเทคโนโลยี Virtual Reality (VR) มาใช้ในการแต่งบ้านอาจฟังดูไกลเกินจริง ต่างกับตอนนี้ที่เทคโนโลยีก้าวล้ำเพียงพอที่จะทำเรื่องนี้ได้ โฮมไพร์ส (Homeprise) จึงได้เปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่สำหรับการตกแต่งบ้าน และยังเป็นแหล่งรวมสินค้าเพื่อการแต่งบ้านอีกกว่า 50 แบรนด์ ภายใต้แนวคิดที่ต้องการให้ทุกคนเข้าถึงการแต่งบ้านในฝัน
แพลตฟอร์มโฮมไพร์ส ถูกพัฒนาขึ้นมาจาก Insight ของคนที่รักและสนุกกับการแต่งบ้าน อย่าง คุณพรชัย แสนชัยชนะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮมไพร์ส จำกัด อดีตครีเอทีฟโฆษณา ที่รักและสนุกกับการแต่งบ้าน ได้มองเห็นปัญหาของการเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์แต่งบ้าน พร้อมตั้งคำถามว่า ต้องรวยหรือจ้างมัณฑนากรแพงๆ เท่านั้นหรือ ถึงจะได้บ้านที่สวย หรือบางคนอาจเคยเจอปัญหาที่ของมาส่งคนละวัน ทำให้เสียเวลาในการรอรับของ ด้วยคำถามเหล่านี้ จึงต่อยอดมาสู่การพัฒนาแพลตฟอร์มโฮมไพร์ส ที่ใช้เวลาพัฒนากว่า 3 ปี และเป็นโมเดลธุรกิจที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในเอเชีย
ความน่าสนใจของ โฮมไพร์ส ไม่ใช่แค่การเป็นแอปพลิเคชั่นที่ใช้เทคโนโลยี VR และ Augmented Reality (AR) เท่านั้น แต่โฮมไพร์สเป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวมสินค้าและเฟอร์นิเจอร์สำหรับการแต่งบ้านไว้อย่างครบถ้วน รวมถึงเป็น Designer Hub ที่มีทีมดีไซน์เนอร์ด้านนักออกแบบตกแต่งภายในไว้ทุกสาขา ผู้ใช้สามารถพูดคุยกับนักออกแบบผ่านแชทได้ เป็นพื้นที่ที่ทุกคนสามารถเข้ามาใช้เพื่อละเลงฝันในการแต่งบ้านได้ตามใจ ตอบโจทย์ความง่าย สะดวกรวดเร็ว ในงบประมาณที่ควบคุมได้ ทั้งนี้ เมื่อคุณเริ่มใช้แพลตฟอร์มดังกล่าวแล้ว จะมีทีมงานของโฮมไพร์สเป็นสื่อกลางในการติดต่อระหว่างผุู้ใช้กับร้านค้า เพื่อจัดสรรวันเวลาที่ลงตัวในการจัดส่งสินค้า ลดความยุ่งยากในการรอรับสินค้าที่มาส่งคนละวันกัน
สำหรับแพลตฟอร์มของ Homeprise จะเป็นประโยชน์ให้แก่ 4 กลุ่มหลัก ดังนี้
- ผู้ที่ต้องการแต่งบ้าน หรือคอนโด– ช่วยให้การแต่งบ้านง่ายและสวยขึ้น ในงบประมาณที่ควบคุมเองได้จริง
- ผู้ผลิต ผู้นำเข้า หรือผู้ออกแบบเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านทั่วประเทศ โดยเฉพาะ SMEs – มีช่องทางใหม่ในการขายสินค้าในยุค e-commerce 4.0 เป็นเครื่องมือทางการตลาดสุดล้ำที่ทัดเทียมบริษัทใหญ่ ที่ได้ทั้งภาพลักษณ์ และผลลัพธ์ทางธุรกิจอย่างไม่เคยมีมาก่อน ช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการดูแลหน้าร้าน หรือออกร้านแบบเดิมๆ รวมทั้งเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าตัวจริงมากขึ้น
- ดีไซเนอร์ นักออกแบบ และมืออาชีพทุกสาขาที่เกี่ยวกับบ้าน– โฮมไพร์สได้คิดค้นเทคโนโลยีช่วยการออกแบบโดยเฉพาะ ทำให้ทำงานออกแบบได้สะดวกรวดเร็วขึ้น มีระบบฐานข้อมูลสินค้าที่ผลิตจำหน่ายจริง ส่งมอบได้จริง ทำให้การสเปคสินค้าหรือออกแบบมีความแม่นยำขึ้น ลดเวลาแก้ไขงานจากการหาสินค้าตามไอเดียที่ออกแบบไปแล้วไม่ได้ อีกทั้งยังเป็นช่องทางใหม่ในการเข้าถึงลูกค้าที่ต้องการมืออาชีพในการออกแบบได้อย่างแท้จริง
- ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั่วประเทศ– สามารถใช้แพลตฟอร์ม Homeprise เข้าไปช่วยงานบริการลูกค้า ทั้งบริการหลังการขาย และการส่งเสริมการขาย อาทิ สร้าง Exclusive Interior Service
ขณะนี้โฮมไพร์ส ได้มีพันธมิตรร้านค้ากว่า 50 แบรนด์ จำนวนสินค้ามากกว่า 4,000 รายการ ครอบคลุมทุกกลุ่มสินค้าเกี่ยวกับบ้านอาทิ ชุดครัวStarmark, ผลิตภัณฑ์และสุขภัณฑ์ Mogen, กระเบื้อง Duragress, ผลิตภัณฑ์ Pasaya, ที่นอน Omazz,Lotus, Dunlopillo และ Simmons เป็นต้น คาดว่าภายในปีนี้จะเพิ่มร้านค้าให้ได้ 100 แบรนด์ และเพิ่ม Category เกี่ยวกับ Small Office และ Startup เข้าไปด้วย
ที่ผ่านมาโฮมไพรส์ได้ช่วยออกแบบแพ็กเกจแต่งบ้านให้ลูกบ้านโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ มากกว่า 30 โครงการ และในปีนี้จะเพิ่มความร่วมมือมากขึ้นในระดับ B2B และกลุ่ม Developer 10 อันดับต้นของประเทศไทยล่าสุดได้ร่วมมือกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำหลายแห่งในการออกแบบแพ็กเกจแต่งบ้านให้ลูกบ้านโครงการ อาทิ บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จํากัด (มหาชน) เพื่อช่วยบริการลูกบ้านในทุกโครงการให้เข้าถึงประสบการณ์ใหม่ของ Digital Home Decoration
โฮมไพร์สถือเป็นสื่อกลางระหว่างผู้บริโภค แบรนด์ผู้ผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ และนักออกแบบตกแต่งเท่านั้น นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น หากมีผู้ดาว์นโหลดแอปฯ เพิ่มขึ้น มีแบรนด์สินค้ามากขึ้น และมีนักออกแบบเข้ามาใช้งานมากขึ้น ทุกฝ่ายก็จะช่วยผลักดันให้วงการอสังหาฯ และตลาดเฟอร์นิเจอร์โตขึ้น นอกจากนี้ แพลตฟอร์มโฮมไพร์สยังได้เป็นส่วนหนึ่งในหลักสูตรเพื่อให้นักศึกษาได้ใช้ในการออกแบบ เบื้องต้นเริ่มใช้แล้วในกลุ่มนักศึกษาชั้นปีที่ 2 สาขาการออกแบบภายใน มหาวิทยาลัยศิลปากร
ปัจจุบันคนไทยโอนบ้านเฉลี่ยปีละ 110,000 หลังต่อปี และในจำนวนนี้ 80% เป็นการซื้อบ้านผ่านบริษัทอสังหาฯ ส่วนมูลค่าตลาดเฟอร์นิเจอร์ของแต่งบ้านในไทยอยู่ที่ 80,000 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขเหล่านี้จะโตขึ้นเรื่อยๆ และเป็นโอกาสการเติบโตของบริษัทฯ ด้วยเช่นกัน
หลังจากเปิดให้ใช้งานผ่านเว็บไซต์ในช่วงเดือนเมษายนปีที่ผ่านมา จนถึงวันนี้บริษัทฯ ส่งมอบผลงานไปแล้วกว่า 220 ยูนิต ทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียม ทำให้ปีที่แล้วบริษัทฯ มียอดขายรวมอยู่ที่ 40 ล้านบาท และในปี 2561 บริษัทฯ มุ่งเดินหน้าธุรกิจด้วยกลยุทธ์แบบ O2O (Online-to-Offline) และมั่นใจว่าปลายปี 2561 จะมียอดขายแตะ 400 ล้านบาท และในเดือนพฤษภาคมนี้ จะมีการระดมทุนขยายงานผ่าน ICO (Initial Coin Offering) มูลค่ารวม 15-20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนำมาลงทุนพัฒนาเทคโนโลยี ซึ่งนับว่าเป็นจุดแข็งของบริษัทฯ เพื่อบุกตลาด CLMV และจีนต่อไป