จากข่าวการควบรวมกิจการของธุรกิจเรียกรถผ่านแอพฯ (Ride-hailing) อย่าง Uber ที่ขายกิจการในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้กับคู่แข่งรายใหญ่อย่าง Grab ส่งผลให้หลายคนตั้งคำถามถึงรูปแบบธุรกิจที่จะมีลักษณะผูกขาด (Monopoly)หรือไม่เพราะจะทำให้ในตลาดเหลือเพียงผู้เล่นรายเดียว และอาจจะส่งผลให้บริการต่ำกว่ามากตรฐานเดิมเหมือนตอนที่ยังมีคู่แข่งหรือไม่
ล่าสุด นายธรินทร์ ธนียวัน กรรมการผู้จัดการใหญ่ของ Grab ประเทศไทยได้ส่งจดหมายชี้แจงถึงการควบรวมในครั้งนี้ โดยมีสาระสำคัญในการควบรวมครั้งนี้ว่า
“การที่เราได้รวมทีมงานของอูเบอร์เข้ามาในบริษัทฯ ของเรานั้นถือเป็นพลังที่จะช่วยขับเคลื่อนความตั้งใจของเราที่จะทำให้ทุกคนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เราคาดหวังว่า การควบรวมกิจการครั้งนี้จะผลักดันให้เกิดประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารของเรา ด้วยจำนวนผู้เรียกใช้บริการและพาร์ทเนอร์ผู้ขับขี่ที่มากขึ้น เราจะสามารถให้บริการรับส่งที่รวดเร็วขึ้น”
ไม่เพียงเท่านี้Grab ประเทศไทย ยังเชื่อว่าการควบรวมกิจการครั้งนี้ ยังช่วยให้เกิดการสร้างสรรค์มากกว่าทำลายอุตสาหกรรมในรูปแบบตลาดผูกขาด (Monopoly) โดยกรรมการผู้จัดการใหญ่ของ Grab ประเทศไทย เชื่อว่าการควบรวมจะช่วยให้เกิดธุรกิจรูปแบบใหม่ที่ช่วยให้ Grab สามารถเข้าถึงผู้ใช้บริการมากกว่าแค่การเป็นธุรกิจเรียกรถผ่านแอพฯ (Ride-hailing)
“นอกจากนี้ ในอนาคต เราจะเดินหน้าผลักดันให้เกิดการเติบโตในก้าวใหม่ นั่นคือการให้บริการที่อำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันที่ครอบคลุมยิ่งขึ้นแก่ลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นบริการการเดินทาง การชำระเงิน การสั่งอาหารมารับประทาน หรือการหารายได้เพิ่มเพื่อดูแลครอบครัว”
เรียกว่าเป็นเรื่อง Talk of the Town ที่มีหลายคนคาดการณ์ไว้แล้ว เนื่องจากตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา Uber มีปัญหากับรถสาธารณะท้องถิ่นในหลายประเทศ ขณะที่ Grab ใช้วิธีร่วมเป็นหนึ่งในหลายโซลูชั่นเพื่อให้รถสาธารณะท้องถิ่นแต่ละประเทศใช้เป็นหนึ่งช่องทางในการหาผู้โดยสาร