ไขข้อข้องใจ เลือก “ประกันสุขภาพ” อย่างไรให้ “คุ้มค่า” ทั้งการลงทุนและความคุ้มครอง

  • 2
  •  
  •  
  •  
  •  

ใครยังชอบซื้อ “ประกันสุขภาพ” ช่วงปลายปี เพราะรอรวบรวม “สิทธิ์ลดหย่อนภาษี” และคำนวณสิทธิ์ที่มีให้ครบก่อน ถึงจะซื้อประกันสุขภาพเพิ่มบ้าง ? จะว่าไปแล้ว วิธีนี้ก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่…ไม่เห็นต้องรอ! แม้ว่าเราจะซื้อกรมธรรม์ประกันสุขภาพได้ตลอดปี แต่ท่ามกลางสถานการณ์เสี่ยงซ้อนเสี่ยงต่อโรคภัยและความเจ็บป่วยนานาประการเช่นนี้… ทำไมเราต้องรอ ?

อย่าคิดว่า “เบี้ยแพง” เพราะตอน “เจ็บป่วย” ต้องจ่ายเยอะกว่า!

บางคนอาจมีความคิดว่า ค่าเบี้ยประกันสุขภาพนั้นราคาสูง แต่ในความเป็นจริงแล้ว…หากพิจารณาให้ดีจะพบว่า “ราคา” ที่คุณต้องจ่ายค่าเบี้ยนั้น ยังไม่แพงเท่ากับ “ค่ารักษาพยาบาล” ที่ต้องยอมจ่ายเพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วย ยิ่งในสถานการณ์ที่เราจำเป็นต้องดูแลสุขภาพอย่างเข้มงวดเช่นนี้ การถือกรมธรรม์คุ้มครองสุขภาพเอาไว้ตั้งแต่ช่วงต้นปี น่าจะสร้างความอุ่นใจได้มากกว่ารอลุ้นความเสี่ยงว่าจะไม่ติดโรคระบาด หรือสุขภาพแข็งแรง แล้วรอซื้อในตอนปลายปีแบบที่มนุษย์เงินเดือนนิยมทำในอดีต

เลือก “ประกันสุขภาพ” ให้คุ้มค่า ต้อง “ครอบคลุม”

เรียกว่าเป็น “ปัญหาหลัก” ของคนซื้อประกันส่วนใหญ่เลยทีเดียว! เพราะคนส่วนใหญ่มักไม่พิจารณาเงื่อนไขของกรมธรรม์ให้ถี่ถ้วน ว่าแผนประกันสุขภาพที่ต้องการซื้อนั้น “คุ้มครอง” และ “ครอบคลุม” ค่าใช้จ่ายทั้งหมด ที่เกิดขึ้นตลอดการรักษาพยาบาลหรือไม่ หลายครั้ง…จึงมีผู้ถือกรมธรรม์ประกันสุขภาพจำนวนไม่น้อยที่ต้องบาดเจ็บซ้ำซ้อน นอกจากอาการป่วยแล้วก็ยังต้องแบกรับค่าใช้จ่ายจากการรักษาตัวไปพร้อมกัน ทำให้เราเริ่มเห็น ผู้ให้บริการประกันสุขภาพเข้ามาทำตลาด “ประกันเหมาจ่าย” มากขึ้น

เกมบุกของธุรกิจ Insurance ยุคนี้ ครอบคลุมตั้งแต่โรคทั่วไป โรคร้ายแรง โรคมะเร็ง หรือแม้แต่อุบัติเหตุ ภายในกรมธรรม์เดียว เพื่อทำให้ผู้บริโภครู้สึกคุ้มค่ากับความคุ้มครอง แม้จะเลือกถือกรมธรรม์สุขภาพเพียงฉบับเดียว แต่ดูแลทั้งหมดแม้จะเป็นผู้ป่วยนอก หรือรักษาต่อเนื่องด้วยวิธีเฉพาะทาง รวมถึงกลุ่มโรคมะเร็งก็ได้รับความคุ้มครอง ขอเพียงไม่เคยป่วยก่อนทำประกัน

และในยุคที่เราต้องเผชิญกับการรักษาพยาบาล “คุณภาพสูง” ที่มักจะมี “ราคาสูง” ตามไปด้วย ไม่ใช่เพียงการรักษาอย่างตรงจุด ตรงโรค ยังต้องมีค่าวินิจฉัยทางการแพทย์อื่น ๆ ประกอบกัน เช่น ค่า CT Scan, ค่า MRI, ค่า X-ray ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ประกันส่วนใหญ่อาจจะ “ไม่รวมในความคุ้มครอง” แม้แต่โรคที่เกิดจากวิกฤตการแพร่ระบาดอย่างไวรัสโควิด-19 หรืออาการป่วยที่เกิดจากฝุ่น PM 2.5 ก็หาได้น้อยมาก ที่บริษัทประกันจะให้สิทธิ์ความคุ้มครองครอบคลุมอาการเหล่านี้ รวมถึงกรณีความคุ้มครองฉุกเฉินขณะเดินทาง ก็เป็นเงื่อนไขที่หาได้ยากจากกรมธรรม์ประกันสุขภาพ

Gen Health Lump Sum” ตีโจทย์คุ้มค่า – เข้าใจมนุษย์เงินเดือน

แม้จะเป็นเงื่อนไขที่หาได้ยากจากประกันสุขภาพ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี เพราะบริษัทเจนเนอราลี่ ประกันภัย (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ Generali (เจนเนอราลี่) ให้บริการประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายในชื่อ Gen Health Lump Sum ด้วยจุดเด่นให้ความคุ้มครองครอบคลุมทั้งโรคทั่วไป โรคร้าย โรคมะเร็ง อุบัติเหตุ ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก ซึ่งให้ผู้ถือกรมธรรม์อุ่นใจในความคุ้มครอง เพราะสามารถเข้ารับการรักษาจากโรงพยาบาลชั้นนำในเครือข่ายกว่า 300 แห่ง โดยไม่ต้องสำรองจ่ายตามเงื่อนไขของบริษัทและไม่ต้องพกบัตร Care Card เพื่อรับสิทธิ์ พร้อมด้วยบริการเสริม อาทิ การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยฉุกเฉินพร้อมผู้ช่วยประสานงานตลอดการรักษาตัวในต่างประเทศ ตรวจสอบข้อมูลกรมธรรม์และสิทธิพิเศษทางออนไลน์ผ่านแอป Gen365 บริการตรวจสุขภาพฟรีประจำปีเพียงแลกแต้มผ่านแอป Gen 365 เป็นต้น ทั้งหมดนี้ ทำให้มีบริษัทชั้นนำมากกว่า 500 แห่งในประเทศไทย เลือกใช้บริการประกันสุขภาพแบบกลุ่มและประกันชีวิตจากกลุ่มบริษัทเจนเนอราลี่ไทยแลนด์

แผนประกันที่ดี ลูกค้าต้องมีสิทธิ์ “เลือกเอง”

ถือเป็นการแนะนำมือใหม่ที่ยังไม่เคยซื้อประกันสุขภาพ รวมถึง มือเก่าที่อาจจะไม่เคยรู้มาก่อน ว่าการเลือกซื้อประกันสุขภาพก็มี “เทคนิค” ที่ควรพิจารณา! ยกตัวอย่างความคุ้มครองจากกรมธรรม์ Gen Health Lump Sum ที่แม้จะมีจุดเด่นเป็นประกันเหมาจ่าย แต่ก็สามารถเลือก “แผนความคุ้มครอง” และ “ค่าเบี้ย” ได้ตามที่ต้องการ อาทิ…

  1. มีกรมธรรม์ให้เลือกถึง 8 แผน

ได้แก่ ความคุ้มครองเฉพาะ IPD (ผู้ป่วยใน) กับแผนประกันสุขภาพ S, M, L, XL และความคุ้มครอง IPD&OPD (ผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก) แผนประกันสุขภาพ S, M, L, XL ซึ่งหากเลือกจากแผนประกันที่ให้ความคุ้มครองอย่างคุ้มค่าก็ควรเลือกประเภทที่ครอบคลุม โดยเพิ่มค่าเบี้ยเพียงนิดเดียวจาก IPD ก็ได้ครอบคลุม ผู้ป่วยในผู้ป่วยนอก

  1. วงเงินค่าห้องพักผู้ป่วยสูงสุดถึง 8,000 บาท

การเลือกแผนประกันที่ต้องจ่ายเบี้ยรายเดือนสูง ก็มีข้อได้เปรียบด้านความคุ้มครองที่จะสูงกว่าแผนอื่น ๆ ด้วย เช่น แผนประกันสุขภาพ XL ที่ให้วงเงินค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าบริการ รวม 8,000 บาทต่อคืน สูงกว่าค่าห้องพักของโรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งเฉลี่ย 6,000-7,000 บาท

  1. จ่ายเบี้ยรายปี ถูกกว่า

ความคุ้มค่าของค่าเบี้ยประกัน เริ่มต้นที่วันละ 69 บาท (คำนวณจากผู้ซื้อกรมธรรม์อายุ 30 ปี แผนความคุ้มครองแบบ XL) แต่หากจ่ายค่าเบี้ยเป็นรายปี จะสามารถประหยัดได้ถึง 10% ต่อปี (ไม่รวมถึงเบี้ยประกันภัยช่วงอายุ 6-15 ปี)

  1. แบ่งชำระได้ – มีโปรฯ ร่วมกับธนาคาร

เพราะเข้าใจสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ เจนเนอราลี่ จึงขยายรูปแบบการชำระให้ลูกค้าเลือกได้ตามความพึงพอใจ เช่น จ่ายเบี้ยรายเดือน รายงวด หรือรายปี แม้กระทั่งแบ่งชำระแบบ 0% ผ่านบัตรเครดิต ได้ตั้งแต่ 3-4-6-12 งวด ตามเงื่อนไขสิทธิประโยชน์ที่ธนาคารเจ้าของบัตรที่ร่วมรายการกำหนด หรือติดตามโปรโมชั่นอื่นๆ ได้ที่เว็บไซต์

  1. ไม่เคลม ลดค่าเบี้ยปีต่อไป!

กรณีลูกค้าไม่มีการเคลม จะได้รับส่วนลด 10% ของเบี้ยประกันภัยปีแรก สำหรับการต่ออายุกรมธรม์ในปีที่ 2 และได้รับส่วนลด 15% ของเบี้ยประกันภัยปีแรก สำหรับการต่ออายุกรมธรรม์ปีถัด ๆ ไปอีกด้วย  หากลูกค้าไม่มีประวัติการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนอย่างต่อเนื่อง

ทำ “Insurance” ก็ต้องพร้อมเสิร์ฟลูกค้าทุกช่องทาง

ต้องเรียกว่าเดินเกมรุกแบบเต็มกำลัง! เพราะหมากที่ เจนเนอราลี่ เลือกเดินเพื่อเข้าถึงลูกค้าในวันนี้ ไม่ได้มีแค่ช่องทางเดิม ๆ ที่ติดต่อผ่าน Telesales หรือผ่าน Call Center 02-0228222 เหมือนแค่ในอดีต แต่ขยายโอกาสทั้งการขายและอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าเลือกติดต่อสอบถามได้สะดวก ด้วยแพลตฟอร์มออนไลน์ ทั้งเว็บไซต์เจนเนอราลี่ และแชทบอท Jane bot ผ่าน Facebook หรือ Line เพียง ค้นหา Generali Online เพื่ออำนวยความสะดวกแบบ 360 องศา ครบทุกช่องทางที่ลูกค้าต้องการอีกด้วย


  • 2
  •  
  •  
  •  
  •