ในสหรัฐอเมริกามีการตื่นตัวเรื่องสิทธิของเพศที่สามอันหลากหลายนอกจากชายหญิงมานาน ล่าสุดก็มีหลายรัฐที่ออก กม. รองรับการจดทะเบียนสมรสของเพศเดียวกันแล้ว ในขณะที่ที่บางรัฐก้ยังไม่สนับสนุน และทางสภาคองเกรสส่วนกลางก็ยังไม่ผ่าน กม. รองรับสิทธิของคู่แต่งงานปกติให้คุ่แต่งงานเพศเดียวกันได้รับบ้าง
ล่าสุด มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Facebook ประกาศจุดยืนของทั้งของตัวเองและขององค์กร ด้วยการสวมเสื้อยืดสีม่วง ไม่ใช่สีน้ำเงินซึ่งเป็นสีปกติของบริษัทไปร่วมขบวนพาเหรดเทศกาล San Francisco’s Lesbian Gay Bisexual Transgender Pride Celebration ซึ่งเป็นพาเหรดสนุกสนานแต่แฝงการสำแดงพลัง รวมพลชาวหลากหลายทางเพศทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเกย์ เลสเบี้ยน ไบฯ หรืออื่นๆ
งานนี้มียักษ์ใหญ่ไอทีหลายรายเข้าร่วม เช่น Google , Yahoo แต่มีแค่เฟซบุ๊คเท่านั้นที่ระดับ CEO และผู้ก่อตั้งไปด้วยตัวเอง
ปกติแล้ว มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ไม่ชอบออกงานสังคมเท่าไหร่ จะไปก็แต่งานที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับธุรกิจเท่านั้น แต่หากมองในแง่ PR งานนี้ก็เกี่ยวกับธุรกิจตรงๆ เพราะผู้ใช้เฟซบุ๊คไม่น้อยก็มีความหลากหลายทางเพศ และกระแสการยอมรับความหลากหลายทางเพศก็เป็นกระแสแห่งอนาคต ต่างจากกระแสอนุรักษ์นิยมที่ต่อต้านการแต่งงานเพศเดียวกัน ซึ่งเป็นกระแสแห่งอดีตที่นับวันจะซาลงไปเรื่อยๆ
เฟซบุ๊คที่พยายามปรับตัวรองรับอนาคตตลอดเวลาย่อมไม่ยอมพลาดกระแสนี้
ก่อนนี้ ทางบริษัทเฟซบุ๊คเองก็เคยประกาศจุดยืนสนับสนุนความหลากหลายทางเพศมาหลายครั้ง ที่แน่ๆคือให้คนเพศเดียวกันสามารถประกาศ relationship กันได้ถึงขั้น married และล่าสุดก็ระบายแหวนสีรุ้ง ซึ่งเป้นสีสัญลักษณ์ของชาวหลากหลายทางเพศ ลงบนมือยกนิ้วโป้ง Like ที่ป้ายหน้าบริษัทด้วย
นอกจากความหลากหลายทางเพศ ก่อนนี้ มาร์ค ในนามส่วนตัว และในนามเฟซบุ๊ค ก็เคยประกาศจุดยืนสนับสนุนความหลากหลายทางเชื้อชาติ และสนับสนุนการให้สิทธิชาวต่างชาติเข้าไปทำงานในสหรัฐฯได้ง่ายขึ้นสะดวกขึ้น ซึ่งก็ถูกวิจารณ์ว่าเพราะเฟซบุ๊คจะได้ประโยชน์จากการมีบุคลากรให้เลือกมากขึ้น และค่าจ้างมักจะถูกกว่าบุคลากรอเมริกันแท้ๆ
และเหนืออื่นใด ทั้งหมดนี้ช่วยสร้างแบรนด์ Facebook ให้มีบุคลิกเป็นสมัยใหม่ ค่อนไปทางเสรีนิยม liberal สนับสนุนสิทธิมนุษยชน สู้กับกระแสโจมตีล่าสุดที่บริษัทถูก Andrew Snowden อดีตเจ้าหน้าที่รัฐบาล แฉว่าเฟซบุ๊คก็มีส่วนร่วมส่งข้อมูลผู้ใช้ไปให้รัฐบาลอเมริกันสอดแนมประชาชนของตัวเองในโครงการลับ PRISM ด้วย
source : mashable.com