แม้จะมี Startup เกิดขึ้นมากมายจนทำความรู้จักกันแทบไม่ทัน! แต่ใช่ว่าทุกรายจะประสบความสำเร็จหรือสามารถสร้างชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จักได้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักลงทุนและบรรดาองค์กรใหญ่ จะเลือกลงทุนกับ Startup ที่มีศักยภาพและมีแนวโน้มสร้างรายได้หรือช่วยสนับสนุนธุรกิจของบริษัทได้อย่างชัดเจน
เช่นเดียวกับที่โครงการอินเว้นท์ (InVent) ของบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ได้ประกาศร่วมลงทุนกับบริษัท อีเว้นท์ ป็อป โฮลดิ้งส์ พีทีอี ลิมิตเต็ด (Event Pop) แพลทฟอร์มสำหรับผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจประเภทอีเว้นท์ กิจกรรม เพื่อใช้เข้าถึงผู้เข้าร่วมงานได้ง่ายขึ้น วัดผลได้ และสามารถรักษาผู้เข้าร่วมงานและกิจกรรมเอาไว้ได้แม้ว่าอีเว้นท์ที่จัดขึ้นจะจบลงไปแล้ว
เรื่องนี้ คุณคิมห์ สิริทวีชัย รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานบริหารการลงทุน บมจ.อินทัช โฮลดิ้งส์ เปิดเผยว่า การลงทุนของ InVent ยังเน้นที่ Startup3 กลุ่มหลัก คือ เทเลคอม มีเดีย และเทคโนโลยี
“ในแต่ละปี InVent มีงบประมาณราว 200 ล้านบาท สำหรับเลือกลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพ มีบิสสิเนสโมเดลที่ชัดเจน หรือสามารถโพรวายบริการเพื่อสร้างความแตกต่างให้ลูกค้า AIS ได้ ซึ่งที่ผ่านมาพฤติกรรมผู้บริโภคนิยมใช้งานโซเชียลและใช้อินเทอร์เน็ต ทำให้บริษัทต้องการนำเสนอบริการที่ตอบสนองการใช้ 4G และดาต้า ซึ่งถือเป็นเซอร์วิสที่มีศักยภาพในตลาดตามเทรนด์ Customer Centric”
5 ปี InVentลงทุนไปแล้ว 400 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ภายในระยะเวลา 5 ปี InVent ได้ลงทุนกับ Startup ระดับซีรีย์เอ รวม 12 โครงการ ด้วยงบประมาณ 400 ล้านบาท ส่วนการลงทุนตามเป้าหมายปีละ 200 ล้านบาทนั้น ในปีนี้อาจมีการลงทุนกับอีก 4 โครงการๆ ละ 50 ล้านบาท
ลงทุนกับ Event Popต่อยอดแพลทฟอร์มอีเว้นท์
InVent ได้ลงทุนกับ Event Pop ไปแล้ว 53 ล้านบาท เนื่องจากเห็นศักยภาพธุรกิจอีเว้นท์ที่เติบโตในประเทศไทยในด้านความหลากหลายและจำนวนงานสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจ ทำให้บริษัทมั่นใจโอกาสการเติบโตของ Event Pop รวมถึงบิสสิเนสโมเดลที่ตรงและตอบโจทย์การลงทุนของบริษัทได้อย่างชัดเจน
วงจรชีวิต Startup ต้องผ่าน 2-3 ปี จึงเริ่มทำกำไร
คุณภัทรพร โพธิ์สุวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง Event Pop อธิบายเพิ่มเติมว่า ธุรกิจของเราไม่ได้เป็น Startup สายเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่เรามีต้นทุนในส่วนอื่นๆ เข้ามาประกอบในการดำเนินงานด้านอีเว้นท์ ทำให้ในช่วงแรกของการเปิดตัวจะเป็นการสร้างการรับรู้กับผู้บริโภคมากกว่าการสร้างรายได้หรือกำไร หลังจากนั้นจึงอาจมีความพร้อมในการทำกำไรภายในช่วง 2-3 ปีต่อมา ซึ่งเชื่อว่า Event Pop จะสามารถทำกำไรได้ภายในปี 2561-2562
ขยายสู่บริการอื่น สร้างโอกาสเพิ่ม
หลังจากเปิดให้บริการ Event Pop ราว 2 ปี ผ่านเว็บไซต์ eventpop.me และแอปพลิเคชั่น Event Pop ปัจจุบันมีผู้จัดงานใช้บริการแล้วประมาณ 3,000 อีเว้นท์ ทั้งงานเทศกาล คอนเสิร์ต กีฬา ธุรกิจ และงานสัมมนา ซึ่งบริษัทได้ต่อยอดความสำเร็จด้วยการเปิดตัว Spark ระบบจ่ายเงินแบบไม่ใช้เงินสดเมื่อเดือนเมษายน รวมถึงบริการอื่นที่เปิดตัวในปีที่ผ่านมา เช่น งานเทศกาล/งานบันเทิง , ส่วนธุรกิจ , ส่วนกีฬา ซึ่งมีการเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำในการทำตลาดออนไลน์โดยใช้ข้อมูลความสนใจ พฤติกรรมการจ่ายเงิน และความเห็นหลังเข้าร่วมงาน มาวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและโอกาสทางธุรกิจแก่ผู้จัดงานและผู้ดำเนินธุรกิจจัดอีเว้นท์
ต่อยอดฟีเจอร์ใหม่ SPACE ช่วยจัดการคอนเทนต์
ล่าสุดบริษัทได้พัฒนานวัตกรรมในชื่อ SPACE (สเปซ) ซึ่งจะกลายเป็นส่วนสำคัญในการช่วยให้ผู้จัดงานสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของอีเว้นท์นั้นๆ ได้มากยิ่งขึ้น ถือเป็นการตอบโจทย์ด้านคอนเทนต์ซึ่งมีจำนวนมหาศาลในปัจจุบันแต่ยังขาดอีโคซิสเต็มที่ดี ซึ่ง SPACE จะเข้ามาช่วยในส่วนดังกล่าวให้สมบูรณ์ขึ้นด้วยระบบสมาชิก ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึง วิเคราะห์ และสร้างปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากการกด “ติดตาม” นำไปสู่ “การเข้าร่วมงาน” ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งานได้รับข่าวสารโดยอัตโนมัติ ขณะที่ผู้จัดงานก็สามารถส่งคอนเทนต์ โปรโมชั่น หรือเนื้อหาพิเศษ ซึ่งถือเป็นการร่วมกิจกรรมแบบเรียลไทม์ไปยังกลุ่มผู้ใช้งานอีกด้วย
“จากวัตถุประสงค์ที่เราต้องการสร้าง Event Pop เพราะคิดว่าการใช้งานมีเดียของผู้จัดอีเว้นท์ในปัจจุบันยังไม่คุ้มค่า แม้จะทำเว็บไซต์หรือแอปของตัวเองแต่เมื่อจบงาน ผู้บริโภคก็ลบแอปทิ้งและไม่กลับไปเข้าเว็บนั้นอีก แต่บริการของเราจะทำให้เกิดอีโคซิสเต็มอย่างแท้จริงเพราะเรามองจากภาพรวมตลาดและต้องการสร้าง Reach Audience ด้วยจุดเด่นของเราที่มีบุคลากรเชี่ยวชาญเรื่องระบบกว่า 10 คน พัฒนาระบบหลังบ้านได้อย่างแข็งแกร่ง”
หวังปีนี้ User เพิ่ม 2-3 เท่าตัว
จากจำนวน User ในปัจจุบันอยู่ที่หลักหลายแสนรายต่อเดือน และมีเพจวิวจากทุกช่องทางรวม 500,000-1,000,000 วิวต่อเดือน บริษัทคาดหวังว่าจำนวนผู้ใช้งานดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นราว 2-3 เท่าตัวภายในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันจำนวนผู้ใช้งานมีสัดส่วนเป็นชาวไทย 80% ชาวต่างชาติ 20% บริษัทจึงตั้งเป้าหมายขยายรูปแบบอีเว้นท์สู่ตลาดอินเตอร์เนชั่นแนลเฟสติวัลเพื่อรองรับความต้องการดังกล่าวด้วย.