เทคโนโลยีในปัจจุบันกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับภาคธุรกิจ แต่ใช่ว่าธุรกิจที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัยที่สุด ดีที่สุดจะประสบความสำเร็จมากที่สุดในการทำธุรกิจ เพราะการจะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จขึ้นอยู่กับการวางแผนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ ด้วยเทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้แผนสามารถบรรลุเป้าหมายได้ง่ายขึ้นและรวดเร็วขึ้น
ซึ่งแผนการที่ดีหากผสมผสานกับการใช้เทคโนโลยีที่ดี ย่อมหมายถึงผลตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค โดยเฉพาะในแง่ของประสบการณ์ที่มีต่อธุรกิจ และจะส่งผลให้เกิด Brand Loyalty รวมไปถึงการบอกต่อแบบปากต่อปาก ซึ่งในทางธุรกิจคือว่าเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุด ที่สำคัญผู้บริโภคจะกลายเป็นแหล่งข้อมูลให้กับผู้บริโภครายอื่นๆ ต่อไป โดยที่แบรนด์แทบไม่ต้องสร้างการรับรู้ (Awareness) ใดๆ
เทรนด์เทคโนโลยีของธุรกิจในอนาคต
ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นเป็นคำพูดของ คุณธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่เน้นเรื่องของการวางแผนธุรกิจมากกว่าการพึ่งพาเทคโนโลยี ซึ่งหากธุรกิจมีการวางแผนไว้อย่างดี การเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมก็จะช่วยให้ธุรกิจสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว
โดยเทรนด์เทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นในอนาคตสำหรับธุรกิจ ประกอบไปด้วย 3 เทคโนโลยีด้วยกัน โดยเฉพาะ Cloud, Data และ Security นอกจากนี้ยังเป็นเทคโนโลยีที่ Microsoft เตรียมลงทุนอย่างจริงจังในอนาคต เนื่องจากเทคโนโลยี Cloud ช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและใช้การลงทุนที่น้อย ซึ่ง Microsoft เองก็มีการให้บริการผ่านรูปแบบ Cloud เช่นเดียวกัน
“ลองเปรียบเทียบง่ายๆ ในอดีตเวลาที่ธุรกิจจะต้องขยายเทคโนโลยีจะไม่มีการลงทุนค่อนข้างสูงในการซื้ออุปกรณ์เพื่อนำมาพัฒนาเทคโนโลยี รวมไปถึงต้องใช้ระยะเวลาในการติดตั้งและเชื่อมต่อระบบ และการให้บริการแบบ License รายปี หมายความว่าตลอดทั้งปีธุรกิจจะต้องใช้เทคโนโลยีนี้โดยไม่มีการอัพเดท แต่เมื่อเปลี่ยนมาเป็นเทคโนโลยี Cloud ธุรกิจไม่จำเป็นต้องลงทุนซื้ออุปกรณ์มาเพิ่มเติม และไม่ต้องเสียเวลาในการเชื่อมต่อระบบ ที่สำคัญยังได้รับการอัพเดทในระยะเวลารายสัปดาห์”
Data ช่วยธุรกิจเติบโต Security ช่วยให้เกิดความเชื่อมั่น
ในส่วนของเทคโนโลยี Data เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ Microsoft ให้ความสำคัญ เนื่องจากในอนาคตหลายธุรกิจจะนำ Data เข้ามาใช้ในธุรกิจมากขึ้นในรูปแบบ “Data Driven” ด้วยประมาณ Data ที่มีจำนวนมาก (Big Data) จะทำให้ธุรกิจจำเป็นต้องหันมาใช้เทคโนโลยี Cloud โดย Data จะช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าเป็นรายบุคคล
ช่วยให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด และช่วยให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน ยิ่งไปกว่านั้น Data ยังช่วยให้ธุรกิจสามารถคาดการณ์อนาคตที่จะเกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำ เพราะว่าเมื่อมี Data เป็นจำนวนมากและใช้บริการเทคโนโลยี Cloud สิ่งที่ธุรกิจควรให้ความสำคัญอีกประการคือเรื่องของ Security
“ในโลกที่ธุรกิจใช้เทคโนโลยีในการขับเคลื่อน สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ธุรกิจควรต้องคำนึงถึงคือเรื่องของความปลอดภัย (Security) นั่นเพราะว่าหากธุรกิจไม่มีระบบความปลอดภัย ธุรกิจนั้นก็จะขาดความเชื่อมั่นจากผู้บริโภค ซึ่งจะทำให้ธุรกิจไม่สามารถจัดเก็บ Data ได้ ทำให้ธุรกิจไม่สามารถคาดการณ์อนาคตได้ และยังทำให้ธุรกิจไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างเต็มที่ ที่สำคัญจะส่งผลต่อการเติบโตของธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
Customer Success หน่วยงานใหม่ช่วยให้ลูกค้าโตไปด้วยกัน
พร้อมกันนี้ Microsoft ยังได้เปิดหน่วยงานใหม่ขึ้นมา โดยเป็นหน่วยงานที่ผสานหน้าที่ของฝ่าย Support และฝ่ายดูแลลูกค้า (Customer Service) ภายใต้ชื่อ Customer Success Unit โดยหน่วยงานใหม่ที่ตั้งขึ้นมานี้จะมีหน้าที่ในการติดต่อลูกค้าเพื่อเข้าไปทำความรู้จัก และสอนให้ลูกค้ารู้ว่าวิธีการใช้งานเทคโนโลยีต่างๆ ของ Microsoft เป็นอย่างไร
ในบางกรณี Customer Success Unit อาจจะเข้าไปในรูปแบบของที่ปรึกษา (Consultant) ในด้านเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้กับธุรกิจ โดยไม่เน้นการขาย รวมถึงในบางกรณีอาจต้องทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงระหว่างธุรกิจและธุรกิจเพื่อให้เกิดการ Synergy โดยเป้าหมายหลักของ Customer Success Unit คือการช่วยให้ลูกค้าเข้าใจการทำงานของเทคโนโลยี รวมไปถึงการช่วยเหลือลูกค้าในด้านเทคโนโลยี
สำหรับ Customer Success Unit ถือเป็นหน่วยงานใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นสำหรับ Microsoft และเป็นหน่วยงานที่เกิดขึ้นหลังธุรกิจหันมาใช้เทคโนโลยีเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้ลูกค้าเกิดความประทับใจในการใช้บริการของ Microsoft โดย Customer Success Unit จะทำงานร่วมกับพันธมิตรในพื้นที่ เพื่อเข้าไปช่วยเหลือลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงบางครั้งที่ Customer Success Unit อาจจะเข้าไปหาลูกค้าพร้อมกับพันธมิตร
Resiliency แนวคิดเพื่อรองรับการปรับตัว
หลังจากเมื่อปีที่แล้ว Microsoft ได้เน้นแนวคิดเรื่อง Tech Intensity หรือการขับเคลื่อนศักยภาพในการสร้างสรรค์นวัตกรรมขององค์กร ในปีนี้เนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบต่อโลกและพฤติกรรมมนุษย์ทำให้วิถีชีวิตของพวกเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง จนเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว
Microsoft จึงได้ยกแนวความคิด Resiliency หรือความสามารถในการปรับตัวและยืนหยัดรับมือคลื่นความเปลี่ยนแปลง ให้เป็นกรอบแนวคิดสำคัญ โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 ช่วงใหญ่ๆ ทั้งในช่วง Response การตอบสนองต่อเหตุการณ์และการเปลี่ยนแปลงอย่างทันท่วงที ช่วง Recovery การวางแผนรับมือเพื่อฟื้นฟูระบบงานและธุรกิจให้กลับคืนสู่สภาวะปกติ และ Reimagine การปรับทิศทางของธุรกิจ รูปแบบผลิตภัณฑ์และบริการให้แตกต่าง พร้อมรับความต้องการของโลกที่เปลี่ยนไป
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการพัฒนาทักษะ (Skiil) ด้านดิจิทัล โดยคาดว่าในปี 2025 ตำแหน่งงานใหม่ด้านดิจิทัลทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 149 ล้านตำแหน่ง โดยเฉพาะงานด้านการพัฒนาซอฟท์แวร์ (Software Development) ที่จะเพิ่มขึ้นถึง 98 ล้านตำแหน่ง สำหรับประเทศไทยเองก็มีแนวโน้มไปไหนทิศทางเดียวกับ ตำแหน่งงานใหม่ด้านดิจิทัลทั่วโลก”
6 เทรนด์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในโลกดิจิทัลอนาคต
สถานการณ์โรคระบาดที่เกิดขึ้นก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทั้งในแง่ของพฤติกรรมของคนและรูปแบบการทำธุรกิจ โดยเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง และเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าโลกจะไม่มีวันกลับไปเหมือนเดิมอย่างแน่นอน Microsoft ชี้ให้เห็น 6 เทรนด์ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับโลกใบนี้ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทัังในแง่ของการใช้ชีวิตและธุรกิจ
New Way of Work and Life เพราะมาตรการ Social Distancing ทำให้หลายธุรกิจเริ่มค้นพบแนวทางการทำงานในรูปแบบใหม่ในหลายธุรกิจ ไม่เว้นแม้แต่ในส่วนของภาครัฐเช่นกัน, Virtual Century อย่างที่กล่าวไว้แล้วว่าด้วยมาตรการ Social Distancing ทำให้การทำงานต้องเว้นระยะห่างกัน แต่ด้วยเทคโนโลยี Virtual จะช่วยให้การทำงานเสมือนใกล้ชิดกันเหมือนเดิม และยังช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า
Hyper Automation เมื่อการทำงานร่วมกันมีอุปสรรคเทคโนโลยีจึงต้องมีการพัฒนาเพื่อเข้ามาทดแทนการทำงานของมนุษย์ที่มีข้อจำกัด ระบบ AI จึงถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยให้การทำงานเป็นไปในรูปแบบของ Automation มากขึ้น, Accelerating Digital เมื่อลูกเข้าสู่ยุค Digital ทุกอย่างจำเป็นต้องรวดเร็ว การปรับเปลี่ยนที่ช้าจะส่งผลกระทบต่อประสบการณ์ที่ดีของลูกค้า
Business Model Revamp เพราะพฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยนแปลงไปตามการพัฒนาของเทคโนโลยี ธุรกิจจึงจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของธุรกิจใหม่ ยกตัวอย่างเช่น ลูกค้านิยมซื้อสินค้าผ่านออนไลน์ ธุรกิจจึงต้องปรับตัวเพื่อเน้นการขายไปในรูปแบบออนไลน์ โดยต้องทำอย่างรวดเร็ว เหนือสิ่งอื่นใดเมื่อธุรกิจปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิตอลแล้ว Trust & Security เป็นสิ่งที่ธุรกิจต้องให้ความสำคัญสูงสุด เพราะต้องไม่ลืมว่าเมื่อเทคโนโลยีพัฒนา เหล่ามิจฉาชีพก็พัฒนาตามไปด้วยเช่นกัน การที่ลูกค้าเกิดความเชื่อมั่นจะช่วยให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน
“สิ่งที่ต้องตระหนักอยู่เสมอ คือ การพัฒนาทักษะ (Skill) เพราะในอนาคตจะมีเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นมามากมาย หากไม่มีการพัฒนาทักษะทั้งในรูปแบบ Upskill Reskill ธุรกิจอาจก้าวตามไม่ทันเทคโนโลยีในอนาคต และจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของลูกค้า รวมถึงกระทบต่อประสบการณ์ที่ดีของลูกค้าอย่างแน่นอน”