ใกล้เข้ามาแล้วกับการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นเรือธงจากค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง Apple และ Samsung ซึ่งนั่นจะช่วยกระตุ้นตลาดสมาร์ทโฟนในระดับ Hi-end หรือระดับราคา 20,000 บาทขึ้นไป แต่ตลาดสมาร์ทโฟนไม่ได้มีเพียงแค่เฉพาะตลาด Hi-end เท่านั้นที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด เพราะตลาดสมาร์ทโฟนระดับกลางก็แข่งขันดุเดือดไม่แพ้เช่นกัน ปัจจัยหนึ่งคือพฤติกรรมผู้บริโภคในการอัพเกรดการใช้งานและการเข้ามาของแบรนด์จีนที่เห็นโอกาสในตลาดสมาร์ทโฟนระดับกลาง
ประสบการณ์ส่วนตัวครั้งหนึ่งในประเทศจีน ทำให้รู้ว่าคนจีนจะแบ่งสมาร์ทโฟนออกเป็น 3 ระดับ อย่างผู้บริหารบริษัทหรือผู้หลักผู้ใหญ่จะใช้ Huawei เป็นหลัก ขณะที่คนทั่วไปพนักงานบริษัทจะนิยมใช้ OPPO ส่วนกลุ่มวัยรุ่นจีนจะนิยมเลือกใช้สินค้าของ Xiaomi นี่คือ 3 ขาใหญ่สมาร์ทโฟนจากแดนมังกรที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย โดยตลาดไทยไม่ได้มีการแบ่ง Segment ของผู้ใช้งานตามแบบอย่างตลาดในประเทศจีน
เจาะกลุ่มอัพเกรดผู้ใช้ House Brand
สู่ตลาดสมาร์ทโฟน Mid Hi-end
ในช่วงก่อนหน้านี้ หากสังเกตให้ดีจะพบว่าสินค้า House Brand จากค่ายมือถือได้รับความนิยม ซึ่งเป็นผลมาจากโปรโมชั่นการใช้งานและเรื่องของราคาตัวเครื่อง แต่ประสิทธิภาพของเครื่อง House Brand ก็ยังมีขีดจำกัด นั่นเป็นเพราะ House Brand ส่วนใหญ่ใช้สินค้าจากประเทศจีนในระดับ New Entry และนั่นคือโอกาสที่ทำให้สมาร์ทโฟนจากจีนรู้จักและเข้าถึงประเทศไทยได้มากขึ้น
Huawei เป็นหนึ่งค่ายสมาร์ทโฟนจากแดนมังกรที่มองเห็นศักยภาพและโอกาสในตลาดประเทศไทย Huawei มีผลิตภัณฑ์ชนิดที่เรียกว่า แทบจะครบทุก Segment เข้ามาสู่ประเทศไทย แม้ว่าในช่วงแรก Huawei จะไม่เป็นที่ยอมรับจากผู้บริโภคมาก เนื่องจากมีผู้นำตลาดอย่าง Apple และ Samsung อยู่แล้ว แต่ในปัจจุบัน Huawei ได้พัฒนาเทคโนโลยีจนเรียกได้ว่า แทบจะมีความใกล้เคียงกับทั้ง 2 ผู้นำในตลาด โดยเฉพาะประสิทธิภาพเรื่องของกล้องและระบบประมวลผล
ซึ่งสมาร์ทโฟนค่ายต่างๆ จากจีนเองก็เห็นช่องว่างในตลาดระดับกลางที่ดูเหมือนจะยังไม่มีใครให้ความสำคัญอย่างจริงจังมากนัก แม้ในตลาดนี้จะมี Samsung เป็นผู้นำตลาด แต่เพราะตลาดระดับกลางพร้อมที่จะอัพเกรดตัวเองขึ้นไปสู่ตลาด Hi-end จึงทำให้การ Switching ของแบรนด์มีสูง โดยเฉพาะแบรนด์ที่ไม่สามารถตอบ Pain Point และนั่นเป็นทำให้ใครที่มีเทคโนโลยีใกล้เคียงกับตลาด Hi-end จะได้รับความสนใจจากผู้บริโภคในตลาดนี้อย่างสูง
Huawei เปิดตัว Nova 3 และ 3i
อัดแน่นทุกฟังก์ชันพร้อมระบบ AI
นี่คือที่มาของการเปิดตัว Huawei Nova 3 ด้วยเทคโนโลยีที่มีความใกล้เคียงกับสมาร์ทโฟนรุ่น Hi-end ไม่ว่าจะเป็นระบบ Face Lock กล้องแบบ Dual Lens ทั้งคู่หน้าและคู่หลังช่วยให้การถ่ายภาพสวยงามมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม รวมไปถึงการติดตั้งระบบ AI ที่ช่วยให้การถ่ายภาพมีประสิทธิภาพและสวยงามมากยิ่งขึ้น ผสมผสานกับราคาที่สามารถจับต้องได้
จากข้อมูลของ Huawei สมาร์ทโฟนระดับ Mid Hi-end หรือสมาร์ทโฟนในช่วงราคาหมื่นต้นๆ แต่ไม่ถึง 20,000บาท มีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในแง่ของมูลค่า (Value) ช่วยให้ส่วนแบ่งการตลาดของ Huawei จาก 9.8% ในเดือนสิงหาคม 2560 ขยับขึ้นมาเป็น 14.7% ในเดือนเมษายน 2561 โดย Huawei ตั้งเป้าหมายยอดขาย Huawei Nova 3 Series ไว้เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าจากรุ่นก่อน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้ใช้สมาร์ทโฟนอัพเกรดตัวเอง จากที่เคยใช้สมาร์ทโฟน House Brand ก็ขยับขึ้นมาเป็นสมาร์ทโฟนระดับ Mid Hi-end
นอกจากนี้ Huawei ยังเลือก “เบลล่า ราณี” หรือ “ออเจ้า” มาเป็นพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ให้กับ Huawei Nova 3 Series ซึ่งจะช่วยให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่าย ขณะที่ราคาก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการตัดสินใจซื้อโดย Huawei ตั้งราคาจำหน่าย Huawei Nova 3 ไว้ที่ 16,990 บาท
OPPO ลงสู้ศึกสมาร์ทโฟน Mid Hi-end
พร้อมมาตรฐานเทคโนโลยี AI
หากว่ากันตามช่วงเวลาแล้ว OPPO เจาะเข้าสู่ตลาดนี้ก่อนลูกพี่ใหญ่อย่าง Huawei ด้วยการส่ง OPPO F7 สมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดในตระกูล F Series พร้อมด้วยความโดดเด่นในการเซลฟี่ กับระบบ AI Beauty 2.0 ที่พัฒนาให้ใช้งานง่ายและภาพเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น เสริมด้วยกล้องหน้าความละเอียดมโหฬารขนาด 25 เมกะพิกเซล พร้อมด้วยหน้าจอ Super Full Screen 6.23 นิ้ว โดยใช้ดีไซน์แบบ Notch Screen ที่ใหญ่เต็มขอบ ในราคาจำหน่ายที่ 10,990 บาท
ความพิเศษของ OPPO F7 อยู่ที่ระบบ AI Beauty 2.0 ซึ่งเป็น AI เวอร์ชั่นล่าสุด สามารถแยกแยะความแตกต่างทั้งสีผิวและเพศของผู้ที่ปรากฎในภาพ รวมทั้งประมวลผลและปรับแต่งภาพในโหมด Beauty ได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น โดยนักพัฒนาของ OPPO ต้องศึกษาและสร้างจุดบนใบหน้าถึง 296 จุด รูปทรงและเค้าโครงของใบหน้าถึง 25 โซน ทำให้ใบหน้ามีมิติมากขึ้น นอกจากนี้ยังทำงานร่วมกับช่างภาพและเมกอัพอาร์ติสท์เพื่อพัฒนาระบบต่างๆ ให้เป็นธรรมชาติ
พร้อมกันนี้ OPPO ยังได้แต่งตั้ง “ญาญ่า–อุรัสยา สเปอร์บันด์” ดารานักแสดงสาวมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ที่จะสื่อถึงความสามารถด้านการถ่ายภาพเซลฟี่ และสะท้อนการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ได้อย่างสนุกสนาน โดยคาดว่าจะสามารถรักษาความเป็นผู้นำอันดับ 2 ในตลาดสมาร์ทโฟนของไทย พร้อมทุ่มงบกว่า 300 ล้านบาทเพื่อสร้างการบริการที่ดีที่สุด และมีบริการหลังการขายที่มีคุณภาพสามารถซ่อมได้เร็ว โดยใช้เวลาแค่เพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น พร้อมตั้งเป้ามีศูนย์บริการกว่า 40 แห่งทั่วประเทศ
Xiaomi น้องเล็กส่ง Mi Mix 2S
ศิลปะผสมผสานเทคโนโลยี
หากจะพูดถึงสมาร์ทโฟนแบรนด์จีนแล้ว จะไม่เอ่ยถึงน้องเล็กที่มาหลังสุดแต่สร้างความฮือฮาได้มากมายอย่าง Xiaomi ก็คงจะเห็นภาพรวมการแข่งขันได้ยาก เพราะ Xiaomi เองก็ลงสู้ในตลาดสมาร์ทโฟนระดับ Mid Hi-end นี้ด้วย ที่สำคัญ Xiaomi มองว่ากลุ่มเป้าหมายในกลุ่มนี้เป็นกลุ่มวัยรุ่นคนรุ่นใหม่ที่มีพฤติกรรมการใช้งานผ่านออนไลน์ ซึ่งตรงกับรูปแบบการขายของ Xiaomi ที่เน้นการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลัก
โดยครั้งนี้ Xiaomi เลือกส่ง Mi Mix 2S เข้าสู่ตลาดโดยชี้ให้เห็นถึงเทคโนโลยี AI ที่ช่วยให้การถ่ายภาพสวยงามมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการติดตั้งเซ็นเซอร์จาก SONY อย่าง IMX363 ในกล้องหลังคู่ คุณสมบัติพิเศษของเซ็นเซอร์นี้จะช่วยให้สามารถถ่ายภาพในสภาพแสงน้อยได้ดี ควบคู่กับเทคโนโลยี Dual Pixel เพื่อให้โฟกัสอัตโนมัติรวดเร็วขึ้น พร้อมด้วยระบบ AI แบบผสมผสาน พร้อมระบบจดจำใบหน้า
นอกจากการใช้ช่องทางออนไลน์ในการจำหน่ายแล้ว Xiaomi ยังได้ใช้กลุ่มผู้หลงใหลในแบรนด์อย่าง Mi Fan ในการเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างการรับรู้ (Awareness) รวมถึงการใช้รางวัลต่างๆ มารับประกันคุณภาพ เช่น รางวัลระดับโกลด์ถึง 4 รางวัล ได้แก่ IDEA, IF, Red Dot และ Good Design การได้รับคัดเลือกให้จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ชั้นนำต่างๆ ของโลกเป็นการถาวร สำหรับ Mi Mix 2S ยังใช้ LAZADA และ Shopee รวมถึงร้าน Mi Stores เป็นช่องทางจำหน่ายหลัก ด้วยราคาเปิดตัวที่ 17,990 บาท
เป้าหมายสู่การก้าวเข้าสู่เบอร์ 1
จาก EXP สู่ Brand Loyalty
อย่างที่กล่าวไว้แล้วว่า พฤติกรรมผู้บริโภคเมื่อใช้งานสมาร์ทโฟนมาระยะหนึ่งแล้วก็จะมีการอัพเกรด จากที่เคยใช้สมาร์ทโฟน House Brand จะอัพเกรดสู่ตลาดระดับกลาง ขณะที่กลุ่มคนที่ใช้สมาร์ทโฟนระดับกลางจะอัพเกรดไปสู่ตลาด Mid Hi-end และกลุ่มคนที่ใช้สมาร์ทโฟนในตลาดนี้จะขยับไปสู่กลุ่มสมาร์ทโฟนระดับบน หลายคนคงสงสัย…แล้วกลุ่มคนที่ใช้สมาร์ทโฟนระดับบนจะอัพเกรดไปไหน?
เทคโนโลยีใหม่ๆ คือ คำตอบ โดยเฉพาะเทคโนโลยี AI และเทคโนโลยี AR นอกจากนี้เทคโนโลยี 5G ที่กำลังกล่าวถึงอยู่ทั่วโลก จะเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาระบบ IoT ทั้งในภาคอุตสาหกรรมและการใช้งานส่วนบุคคล แน่นอนว่า 5G จะช่วยให้เทคโนโลยี Smart ทั้งหลายสามารถฉลาดและใช้งานได้จริง ผ่านการใช้งานสมาร์ทโฟนที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง AI ผสมผสานอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงระดับ 5G
นั่นจึงทำให้แต่ละค่ายต่างพุ่งเป้าไปที่เทคโนโลยี AI แน่นอนว่าเทคโนโลยีนี้ยังเป็นของใหม่ การสร้างประสบการณ์การใช้งานกับ AI จึงเป็นสิ่งสำคัญ และการถ่ายภาพก็เป็นฟังก์ชั่นที่ทุกคนนิยมใช้ ที่สำคัญยังช่วยให้เห็นถึงประสิทธิภาพของเทคโนโลยี AI ได้อย่างชัดเจน ผ่านประสบการณ์การถ่ายรูปที่ผ่านมา และแบรนด์ไหนที่สามารถเข้าถึง Pain Point ได้ตรงจุดนั่น หมายถึงผู้ใช้งานก็จะเกิด Brand Loyalty
อย่างเช่น Huawei ที่ตั้งเป้าก้าวขึ้นสู่แบรนด์สมาร์ทโฟนอันดับ 1 ของโลกในปี 2020 นั่นหมายความว่า Huawei ต้องมั่นใจในเทคโนโลยีของตัวเองที่จะไปสู้กับ 2 ผู้นำตลาดสมาร์ทโฟน ซึ่งแบรนด์จากจีนหลายค่ายก็มีแนวคิดไม่ต่างกัน การให้ผู้บริโภคได้มีประสบการณ์การใช้เทคโนโลยีตั้งแต่สมาร์ทโฟนระดับกลาง จึงเป็นการสร้าง Brand Loyalty และความผูกพันธ์ระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค
เมื่อต้องการอัพเกรด แน่นอนว่าผู้บริโภคต้องเลือกใช้แบรนด์ที่ตัวเองมั่นใจ
เพราะสมาร์ทโฟนระดับ Hi-end ราคามันแพง !!!