ปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบัน Marketing Technology เข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในแวดวงการตลาด ไม่ว่าจะเป็นการใช้ AI เพื่อช่วยให้สามารถเข้ามาคาดการณ์ความต้องการผู้บริโภคในอนาคต หรือการใช้เครือข่าย 5G ในการพัฒนาการให้บริการที่รวดเร็วมากกว่าในอดีต หรือแม้แต่การใช้สื่อดิจิทัลในการสื่อสารเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายแบบส่วนตั๊ว…ส่วนตัว
การที่โลกหมุนเข้าสู่ยุคของดิจิทัลได้ทำให้เกิดโอกาสกับกลุ่มธุรกิจใหม่หรือที่เราเรียกติดปากว่า Startup ซึ่งกลุ่ม Startup เหล่านี้ถือเป็นกลุ่มที่สำคัญในการพัฒนาโลกดิจิทัลให้เข้าใกล้คำว่า “สมบูรณ์แบบ” แต่ก็ไม่ใช่เรื่องของกลุ่ม Startup ที่จะสามารถเติบโตขึ้นได้ เพราะยังมีบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีที่มีพลานุภาพ พอที่จะชี้นิ้วสั่งได้ว่า Startup ไหนเกิดหรือดับไป
นั่นจึงก่อให้เกิดคำถามว่า กลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีกำลังสร้างอำนาจและยึดกุมตลาดเอาไว้แต่เพียงผู้เดียวในลักษณะของการผูกขาด (Monopoly) นี่จึงเป็นที่มาของการสั่งสอบสวนบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ระดับโลกถึง 4 แห่งในกรณีการผูกขาดตลาดด้านดิจิทัลประกอบไปด้วย Alphabet บริษัทที่ดูแลธุรกิจ Google, Amazon, Apple และ Facebook
ล่าสุดสภาคองเกรสของสหรัฐฯ ในฐานะผู้สอบสวนจะทำการเรียก “พี่ใหญ่” ของทั้ง 4 บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีมาพูดคุยเชิงให้ปากคำผ่านระบบวิดีโอระยะไกล ประกอบไปด้วย เจฟฟ์ เบซอส (Jeff Bezos) CEO Amazon, มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) CEO Facebook, พิชัย ซันดาร์ (Pichai Sundar) CEO Google และ ทิม คุก (Tim Cook) CEO Apple
โดยที่สภาคองเกรสได้กล่าวหาว่า 4 บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีมีการผูกขาดตลาดไว้กับตัวเอง อย่าง Amazon ที่ควบคุมการค้าปลีกผ่าน e-Commerce เพียงผู้เดียว, Facebook ที่เข้าซื้อกิจการเพื่อไม่ให้กิจการเหล่านั้นกลายเป็นคู่แข่ง, Google ที่แบรนด์ต้องมาใช้ระบบมิเช่นนั้นจะไม่ปรากฎในการค้นหา และ Apple กับการเรียกค่าคอมมิชชั่นมหาโหดจนผู้พัฒนาแอปฯ ไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้
ซึ่งทาง เจฟฟ์ เบซอส (Jeff Bezos) CEO Amazon เตรียมชี้แจงว่า Amazon ครองส่วนแบ่งตลาดค้าปลีกโดยรวมมีสัดส่วนที่น้อยกว่าผู้ค้าปลีกรายใหญ่อย่าง Walmart มากอย่างน้อย 2 เท่า นอกจากนี้สถานการณ์ COVID-19 ทำให้ตลาด e-Commerce เติบโตโดยภาพรวมไม่ใช่แค่ Amazon เท่านั้นที่เติบโต ดังนั้นเป็นเครื่องชี้ชัดว่าผู้ขายสามารถเติบโตจากการขาย e-Commerce ได้ แม้จะไม่ใช้บริการ Amazon
ขณะที่ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) CEO Facebook คาดว่าจะตอบ 2 ประเด็นทั้งในด้านการเข้าซื้อกิจการและเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ โดยในประเด็นการเข้าซื้อกิจการนั้น มาร์คชี้ว่าการเข้าซื้อกิจการของ Instagram และ WhatsApp ไม่ใช่การซื้อเพื่อกีดกันการแข่งขัน แต่หลังการซื้อกิจการทั้ง 2 ก็มีการปรับตัวในแง่ของการเติบโตเพิ่มขึ้น ส่วนในประเด็นการใช้งาน Facebook ที่ก่อให้เกิดการประท้วงนั้น มาร์คชี้ว่า Facebook สนับสนุนให้มีการแสดงออกอย่างเสรีมากที่สุด เว้นแต่จะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่ออันตรายหรือความเสียหายที่เฉพาะเจาะจง
ด้าน พิชัย ซันดาร์ (Pichai Sundar) CEO Google น่าจะตอบว่า การที่ Google เติบโตเพิ่มขึ้น ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะต้องค้นหาข้อมูลจาก Google เท่านั้น ในปัจจุบันมีการค้นหาข้อมูลผ่าน Twitter และ Pinterest รวมถึงเว็บอื่นๆ เพิ่มมากขึ้น อีกทั้ง Google ไม่เคยบอกว่าเครื่องมือของ Google ดีที่สุดในโลกหรือถูกที่สุดในโลก เพราะ Google ก็ยังคงต้องพัฒนาระบบเพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากที่สุด
และ ทิม คุก (Tim Cook) CEO Apple คาดว่าจะตอบในประเด็นการคิดค่าคอมมิชชั่นกับแอปฯ ต่างๆ ที่จะมาลงใน App Store โดยเชื่อว่าทิม คุกน่าจะชี้ให้เห็นถึงความเป็นจริงของตลาดที่มีการคิดค่าคอมมิชชั่นสำหรับแอปฯ ที่จะเปิดให้ใช้งานใน App Store ซึ่งคู่แข่งก็มีการคิดเช่นเเดียวกัน แถม Apple ยังคิดค่าคอมฯ ถูกกว่าคู่แข่ง 50%-70% ด้วยซ้ำไป
ทั้งหมดนี้ต้องรอดูว่า 4 ผู้ยิ่งใหญ่ของโลกดิจิทัลจะสามารถแก้ต่างกับข้อกล่าวหาที่ตั้งไว้ได้หรือไม่ ซึ่งผลการตัดสินจะกลายเป็นบรรทัดฐานให้หลายประเทศทั่วโลกที่ 4 บริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้เข้าไปทำธุรกิจสามารถดำเนินการต่างๆ เพื่อให้เกิดการแข่งขันและนำผลประโยชน์ไปสู่ผู้ใช้งานอย่างแท้จริง นั่นรวมไปถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน