เป็นที่ทราบกันดีว่า การแพร่ระบาดระลอก 3 ส่งผลกระทบต่อธุรรานส์กิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลายองค์กรเริ่มตระหนักในการปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลเพื่อบริหารจัดการธุรกรรมต่างๆ ของแต่ละองค์กร รวมไปถึงการนำมาสร้างการเปลี่ยนแปลงเพื่อนำไปสู่การปรับตัว ซึ่งโรคระบาดช่วยเร่งการปรับเปลี่ยนสู่การ Transformation ขององค์กร ตลอดช่วงระยะเวลาที่เกิดการแพร่ระบาด AIS ได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนและช่วยเหลือ ทั้งในโรงพยาบาลสนามมากกว่า 31 โรงพยาบาล รวมถึงการนำเทคโนโลยี AI ในการทำ CT Scan ปอด ช่วยให้เกิดความแม่นยำและรวดเร็วในการตรวจสอบ
และยังมีการสนับสนุนแพลตฟอร์ม อสม. ออนไลน์ และการสนับสนุนทางด้านออนไลน์อย่าง Telemedicine ที่สามารถช่วยลดการทำงานของแพทย์และลดความเสี่ยงในการพบปะกับผู้ป่วย นอกจากนี้ AIS ยังได้ร่วมมือกับกลุ่มผู้ประกอบการท่องเที่ยวในการดำเนินโครงการ Phuket Yacht Quarantine ซึ่งเป็นโครงการที่ AIS นำระบบ NB-IoT เข้ามาใช้ โดยร่วมกับ Startup ในการนำ Wearable Device สำหรับสวมใส่ข้อมือนักท่องเที่ยว เพื่อการ Monitor ที่อยู่ อุณหภูมิ การเต้นหัวใจ
โครงการดังกล่าวนอกจากส่งเสริมการท่องเที่ยวแล้ว ยังช่วยให้คณะแพทย์ไม่ต้องสัมผัสกับนักท่องเที่ยวโดยตรง โดยยังคงสามารถตรวจสอบการกักตัวได้ ผ่านข้อมูลที่ถูกส่งเข้าไปใน Cloud Platform สามารถบริหารจัดการได้แบบ Real Time ช่วยให้ภาคธุรกิจการท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตสามารถขับเคลื่อนได้ต่อไป
ที่สำคัญ AIS ยังได้เปิดตัวศูนย์การค้าเสมือนจริงแห่งแรกในประเทศไทยในชื่อ V-Avenue โดยเป็นการสร้างผ่านรูปแบบ Virtual Reality ช่วยให้ผู้ค้าสามารถทำธุรกรรมผ่านดิจิทัลได้ โดยในเฟสแรกมีพันธมิตรที่เข้าร่วมกับ AIS แล้วอย่างเช่น The Mall Group, TV Direct, Loft เป็นต้น นอกจากนี้ยังเปิดพื้นที่ให้ SME รายย่อยมากกว่า 210 ร้านค้า ซึ่งเทคโนโลยี 5G มีส่วนสำคัญอย่างมาก ปัจจุบันมีผู้เข้าเยี่ยมชมแล้วกว่า 1 ล้านคน มั่นใจว่าในอนาคตแพลตฟอร์มนี้จะช่วยเหลือ พันธมิตรของ AIS และลูกค้า SME ในการทำธธุรกิจแนวใหม่
สถานการณ์โรคระบาดกลายเป็นส่วนหนึ่งของบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปในเวลานี้ หรือ NOW NORMAL ซึ่งส่งผลทำให้โลกดิจิทัลกลายเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตของผู้บริโภคทุกเพศ ทุกวัยจนแยกจากกันไม่ได้ ในส่วนขององค์กรธุรกิจต่างๆ ล้วนแล้วแต่ต้องยกระดับจาก Physical สู่ Digital ที่ต้องทำการ Transformation ทุกกระบวนการทำงานทุกขั้นตอนให้เร็วขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดต้นทุนมากขึ้น รวมถึงสร้าง New Business Model เพื่อตอบสนอง Lifestyle แบบ Work From Home ของคนทั่วโลก พร้อมทำให้องค์กรสามารถขับเคลื่อนต่อได้โดยไม่สะดุด
ซึ่งจากข้อมูลอย่างพบว่า ช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โรคระบาด ธุรกิจที่นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้มีโอกาสเติบโตมากกว่าธุรกิจที่ไม่นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ถึง 2 เท่า และในช่วงการแพร่ระบาดธุรกิจที่นำเทคโนโลยีมาใช้ จะมีโอกาสเติบโตมากกว่าธุรกิจที่ไม่นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้สูงถึง 5 เท่า เมื่อเทียบข้อมูลธุรกิจด้านดิจิทัลในประเทศไทยเปรียบเทียบกับระดับโลก จะพบว่า ประเทศไทยยังอยู่ต่ำกว่าเกณฑ์ในระดับโลก แต่ยังพบว่าประเทศไทยอยู่ในช่วงการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งธุรกิจเองก็กำลังปรับเปลี่ยนโดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้เพิ่มมากขึ้น
ด้าน คุณธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย หัวหน้าคณะผู้บริหาร กลุ่มลูกค้าองค์กร AIS Business ชี้ว่า ปัจจุบันองค์กรส่วนใหญ่ต่างมีการปรับตัวนำดิจิทัลเข้ามาใช้เพิ่มขึ้นอย่างมีสาระสำคัญ โดย 38.6% เน้นเพื่อสร้างช่องทางการขายออนไลน์ และ 79.3% พร้อมรับชำระเงินทางออนไลน์ นอกจากนี้ยังพบว่า ในช่วงสถานการณ์ล็อคดาวน์ที่แพร่ระบาดรุนแรงขึ้นนั้น องค์กรต่างๆ ได้สร้าง Online Channel มากขึ้นถึง 57.1% ทั้งนี้ในส่วนของ SME ต่างปรับตัวอย่างชัดเจนขึ้นใน 4 ด้านคือ เพิ่มการส่งเสริมการขายในตลาดออนไลน์, เพิ่มนวัตกรรมในองค์กร, เพิ่มความยืดหยุ่นเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลง และนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการ เพื่อปรับโครงสร้างต้นทุน
ทั้งนี้ AIS ยังได้แนะนำ 10 เทคโนโลยีที่ทุกองค์กรควรให้ความสำคัญและพร้อมนำไปใช้ในทุกกระบวนการ ประกอบด้วย 5G, IoT, Cloud&EDGE Computing, Extended Reality, AI/Machine Learning, Robotics, Big Data & Analytics, Cyber Security, Robotic Process Automation และ Blockchain ซึ่ง AIS Business มีความพร้อมอย่างยิ่งในการทำงานร่วมกับทุกองค์กร เพื่อให้เราสามารถเดินหน้าฝ่าวิกฤตจากสถานการณ์การแพร่ระบาดนี้ไปด้วยกันให้ได้ และก้าวสู่โลกของการทำ Digital Business ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมา AIS มีการลงทุนไปแล้วกว่า 1.1 ล้านล้านบาท เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ด้านดิจิทัล ปัจจุบัน AIS เปิดให้บริการต่างๆ มากมายไม่ว่าจะเป็น Digital Life ในด้าน Consumer ทั้ง Mobile Experience, Video Content เป็นต้น นอกจากนี้ยังให้บริการทางด้านธุรกิจเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งด้านเทคโนโลยี 5G, NB-IoT, Data Center, Cloud Service รวมถึง Cybersecurity ซึ่งครอบคลุมถึงกลุ่ม Startup
ปัจจุบัน AIS ครอบคลุมการให้บริการ 5G ถึง 77 จังหวัด โดยมีผู้ใช้บริการ 5G มากกว่า 7 แสนราย โดย AIS เป็นผู้ให้บริการรายเดียวที่มีความถี่มากที่สุด ช่วยให้สามารถให้บริการได้ครบทุกเซ็กเมนต์ทุกความต้องการ นอกจากนี้ยังมีสายไฟเบอร์ออฟติกยาวมากกว่า 1.6 แสนกิโลเมตร ครอบคลุมทั่วพื้นที่ โดยมีการร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกในการให้บริการต่างๆกับลูกค้าทั้งกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ไปจนถึงกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย
ทั้งหมดนี้ นอกจาก AIS จะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังเป็นผลมาจากความร่วมมือของพันธมิตร ทั้งในระดับโลกและในระดับประเทศที่ช่วยขับเคลื่อนให้เทคโนโลยีต่างๆ สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ช่วยให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน