SC ASSET เปิดโรดแม็ป 5 ปีตั้งเป้ารายได้ 2 หมื่นล้าน ลุยตลาดใหม่กับ ‘บ้าน 3-5 ล้าน’ ครั้งแรก!

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

เอสซีฯ วางโรดแม็ป มั่นใจขึ้นแท่นรายได้ 20,000 ล้านบาทในอีก 5 ปี พร้อมตั้งเป้าปี 2558 รายได้เติบโต 10% รุกเปิด 7 โครงการใหม่ มูลค่า 14,000 ล้าน ครึ่งปีแรกเปิด 2 โครงการพรีเมี่ยม คฤหาสน์หรู ทำเลปิ่นเกล้า-เพชรเกษม และคอนโดฯ ทำเลศาลาแดง

sc2

นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ SC แถลงข่าวแผนงานและการวางกลยุทธ์ในปีนี้และอีก 5 ปีข้างหน้าของบริษัทเอสซี แอสเสทฯ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ที่โรงแรมเดอะ เซนต์ รีจิส กรุงเทพฯ โดยเปิดเผยว่า จากความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างสร้างสรรค์และใส่ใจมาตลอด 11 ปีที่ผ่านมา   ภายใต้นโยบายการเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน ทำให้ผลประกอบการของเอสซี แอสเสทฯ ก้าวเติบโตมาอย่างต่อเนื่องทั้งรายได้และกำไรสุทธิ และเพื่อการเติบโตต่ออย่างมีเสถียรภาพมั่นคงในทศวรรษที่ 2 เอสซี แอสเสทฯได้ตั้งเป้าหมายว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า (2562) บริษัทจะมีรายได้ 20,000 ล้านบาท ตามแผนยุทธศาสตร์ 5 ข้อ ดังนี้

ยุทธศาสตร์ 5 ปี

  1. ยุทธศาสตร์เชิงรุก ในการลงทุน รักษาตำแหน่งผู้นำตลาดบ้านเดี่ยว

นอกจากจะตั้งเป้าในการรักษาแชมป์ของบ้านหรูราคาเกิน 15 ล้านบาทขึ้นไปแล้ว ปีนี้เอสซี แอสเซทฯ จะขอบุกตลาดใหม่อีกด้วย

  • ตลาดที่1 บ้าน 15 ล้านขึ้นไป สิ่งที่เราต้องเดินไปใน 5 ปีนี้ คือการรักษาแชมป์ รักษาเซกเม้นต์เซ็กชั่นบ้าน 15 ล้านขึ้นไปให้ได้ต่อเนื่อง 5 ปีติดต่อกัน
  • ตลาดที่2 บ้าน 5-15 ล้าน เป็นพอร์ทที่สองที่เราได้ทำตรงนี้อย่างน้อยมา 5 ปีแล้ว ความตั้งใจของเราคือจะลุยตลาดตรงนี้ จะต้องอยู่ใน top5 ตลอด 5 ปีติดต่อกันให้ได้อีก
  • ตลาดที่3 บ้าน 3-5 ล้าน เป็นสนามที่เรายังไม่เคยลงมาก่อน ปีนี้จะเป็นปีแรกที่เราจะบุกในตลาดนี้ ภายใต้ชื่อโครงการว่า PAVE เป็นบ้านที่ประหยัดแรงงานและสร้างได้เร็ว ถ้าจะฉายภาพให้เห็นชัดขึ้นประมาณปี 2019 โปรดักส์ของเราตรงนี้อยู่ที่ประมาณ 10-15% ของฐานบ้านแนวราบทั้งหมด

ในส่วนของแนวสูงเราจะเปิดอย่างน้อยๆ 2-4 โครงการทุกๆ ปี และก็จะสร้างยอดขายให้ได้ ทุกปี อย่างน้อยปีละ 4,500-6,500 ล้านบาท กล่าวโดยสรุป ยุทธศาสตร์แนวรุกในการลงทุน คือจะรักษาฐานบ้านหรูเอาไว้ให้ได้อันดับ 1 และ top 5 และก็จะรุกไปในตลาดใหม่ๆ ซึ่งจะสามารถสร้างฐานรายได้เป็นอย่างดีด้วย

  1. เชิงรับ “รีดไขมัน แต่ไม่ลดคุณภาพ” (Cost Effectiveness)

เป็นยุทธศาสตร์ที่ทุกๆ แผนกในบริษัทมาช่วยกันว่า ทำอย่างไรให้ยังขายได้เหมือนเดิม ทำอย่างไรที่จะได้บ้านคุณภาพให้เหมือนเดิม แต่เราลดค่าใช้จ่ายอย่างอื่นลงได้ และเป็นการใช้ค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

  1. รักษาคุณภาพระดับพรีเมี่ยมทั้งสินค้าและบริการ

ในฐานะแบรนด์ที่ทำของพรีเมี่ยม เราจะไม่ลดคุณภาพลง ทั้งบริการหลังและก่อนการขาย เราจะรักษาคุณภาพ รักษาความเป็นพรีเมี่ยมของโปรดักส์และบริการของเราตลอด

  1. พัฒนาบุคคลากรและสร้างวัฒนธรรมองค์กรแห่งการสร้างสรรค์และใส่ใจ (People Development & Culure)

เชื่อว่าธุรกิจบ้านของไม่ได้ต่างกันมาก แต่สิ่งที่จะทำให้ต่างกันจริงๆ คือคนในบริษัท ดังนั้น เราจึงจะพัฒนาบุคคลากรของเราให้แข็งแกร่ง ให้คิดอย่างสร้างสรรค์และทำให้แตกต่าง และพร้อมสำหรับวัฒนธรรมซึ่งเราทำมาตลอดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และกำลังจะบ่งทำต่อใน 10 ปีข้างหน้า คือวัฒนธรรมแห่งการสร้างสรรค์

“ผมเชื่อว่าการทำตรงนี้จะทำให้เราคิดในสิ่งที่แตกต่างได้ สร้างโปรดักส์ที่แตกต่างได้ การดูแลพนักงานที่ดี ดูแลคนใกล้ตัวที่ดี จะส่งผล และส่งพลังไปถึงการดูแลลูกค้าข้างนอกได้

  1. คิดค้นนวัตกรรมใหม่อย่างต่อเนื่อง (Innovation)

เราจะแข่งกับทุกคนได้ทั้งระยะยาว ระยะกลางขึ้นไป เราต้องแตกต่าง เราจึงต้องมีนวัตกรรม เราต้องมีสิ่งใหม่ๆ ตลอด เพราะฉะนั้นทีมจะถูกให้คิดตลอดเวลาว่าเราจะทำโปรดักส์ใหม่ๆ มาอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบ้านประหยัดพลังงานหรือบ้านเพื่อสุขภาพ ทุกวันนี้ก็มีการทำอยู่ตลอด สิ่งไหนที่มีความสำเร็จเราก็จะนำมาใช้ เพื่อให้ลูกค้ามีสิ่งที่ดีที่สุด

sc1

เป้าหมายในปี 2558

ถือเป็นบันได้ขั้นที่ 1 ที่จะทำให้ถึงเป้าหมาย 5 ปีที่ตั้งไว้สำเร็จได้ โดยในปี 2558 นี้ ได้ตั้งเป้ารายได้ เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ของยอดรายได้ปีที่ผ่านมา และเป้ายอดขายที่ 13,000 ล้านบาท เติบโต 52% โดยมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 7 โครงการ มูลค่ารวมกันประมาณ 14,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับพรีเมี่ยม 4 โครงการ มูลค่ารวม  6,000 กว่าล้านบาท พร้อมกับคอนโดมิเนียม 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 7,660 ล้านบาท นอกจากนี้ net profit ของเราต้องมากกว่า 12%

โปรเจ็คต์ใหม่

โดยในครึ่งปีแรกจะเปิด 2 โครงการหรู เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดลักซ์ชัวรี่

  1. โครงการ กรานาดา ปิ่นเกล้า-เพชรเกษม

มีสภาพแวดล้อมและความเป็นส่วนตัวพิเศษเพียง 36 ยูนิต บนเนื้อที่กว่า 36 ไร่ ราคา 50-140 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 2,150 ล้านบาท  มีความโดดเด่นด้วยศักยภาพของทำเล ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกและห้างสรรพสินค้า ซึ่งจะเปิดให้เยี่ยมชมโครงการได้ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคมนี้ เป็นต้นไป โดยโครงการกรานาดาแห่งใหม่ แบรนด์คฤหาสน์หรูมีระดับที่สร้างชื่อเสียงให้กับ เอสซี แอสเสท ให้เป็นที่ยอมรับในกลุ่มนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ

  1. โครงการ Saladaeng One (ศาลาแดง วัน)

คอนโดมิเนียมซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ที่ เอสซี แอสเสท ภูมิใจในเอกลักษณ์และดีไซน์ของสถาปัตยกรรม ตั้งอยู่บนทำเลศาลาแดงซอย 1 ทำเลนี้นอกจากจะเป็นทำเลไพร์มที่อยู่ใจกลางดาวน์ทาวน์กรุงเทพฯแล้ว  ที่ดินผืนนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นผืนสุดท้ายในทำเลซึ่งเหมาะสำหรับการพัฒนาคอนโดมิเนียมแนวสูง มีพื้นที่ประมาณ 1 ไร่ 3 งาน ขนาด 1-3 ห้องนอน และเพนท์เฮ้าส์ พื้นที่เริ่มตั้งแต่ 50 ตารางเมตร ราคาเฉลี่ยมากกว่า 280,000 บาท/ ตร.ม. จำนวน 185 ยูนิต และ 2 พูลวิลล่า มูลค่าโครงการ 3,700 ล้านบาท โดยจะเปิดอย่างเป็นทางการ ให้ผู้สนใจเข้าเยี่ยมชมได้ในเดือนพฤษภาคม 2558

ปัจจุบันเอสซี แอสเสท มีโครงการต่อเนื่องที่เปิดขายอยู่ทั้งหมด จำนวน  32 โครงการ มูลค่าโครงการคงเหลือเพื่อขายรวมประมาณ  22,930 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นโครงการแนวราบ 24 โครงการ และโครงการแนวสูง 8 โครงการ พร้อมกับยอดขายรอโอน (Backlog) ณ วันที่ 31 ธ.ค. 57 ประมาณ 8,800 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้เข้ามาเป็นรายได้ในปีนี้ราว 44%

นายณัฐพงศ์กล่าวสรุปว่า  “เรามีความมุ่งมั่นที่จะทำให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ตามยุทธศาสตร์ 5 ปี เอสซี แอสเสท จะต้องเติบโตอย่างยั่งยืนทั้งปริมาณควบคู่ไปกับคุณภาพ โดยรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดบ้านเดี่ยวในระดับพรีเมี่ยม นอกจากนี้ยังรักษาคุณภาพทั้งสินค้าและบริการก่อน-หลังการขาย ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการรักษาพันธสัญญา (commitment) ที่ให้ไว้กับทั้งลูกค้าและคู่ค้า ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว  สิ่งนี้จะทำให้เราเติบโตได้อย่างยั่งยืนและมั่นคง”


  •  
  •  
  •  
  •  
  •