ของเหลวในร่างกายมนุษย์เรานั้นไหลไปหล่อเลี้ยงอยู่เพียงไม่กี่ส่วน…
ส่วนแรก – คือ หัวสมอง หากเลือดไหลขึ้นไปหล่อเลี้ยงอยู่ที่ส่วนบน เมื่อเราทำสิ่งใดก็จะเกิดกระบวนการคิดและตรรกะที่มีเหตุผลแลดูลุ่มลึกไปเกือบเสียหมด แต่บางครั้งมันอาจทำให้วิถีของใครหลายคนดูจืดชืด เหี่ยวแห้ง และไร้ซึ่งความชุ่มฉ่ำทางอารมณ์
ส่วนที่สอง – คือ หัวใจ สิ่งนี้จะช่วยเติมเต็มความรู้สึกและอารมณ์ของเรา ทำให้มุมมองของใครหลายคนเหนือความคมชัดมากยิ่งขึ้น…และ ‘ความรู้สึกทางอารมณ์’ นี้เอง ก็ยังสามารถจูงใจใครต่อใครได้ดีอีกด้วย
ว่ากันว่า, อารมณ์ความรู้สึกมีพลานุภาพที่แปลกอย่างหนึ่ง เป็นอาวุธชั้นเยี่ยมที่นักการตลาดหลายคนใช้สยบกลุ่มเป้าหมายมานักต่อนักแล้ว งานโฆษณาหลายต่อหลายชิ้นบนโลกใบนี้ที่ประสบผลสำเร็จก็ล้วนมาจาก ‘การเล่นกับอารมณ์ความรู้สึกของคน’ ทั้งนั้น หากจะยกตัวอย่างงานโฆษณาในบ้านเรา ก็คงจะมีอยู่ไม่น้อยที่ใช้วิธีนี้และได้ผลกับคนไทย แต่หากจะกล่าวถึงงานโฆษณาของต่างประเทศที่ประสบผลสำเร็จมาแล้วในหลายประเทศ…ก็แลดูจะน่าสนใจอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
‘ตื่นเต้น’ ทุกทีที่ยอดไลค์ถึงเป้า! – (Excitement)
หากแบรนด์ของคุณมียอดไลค์ในแฟนเพจครบ 1,000,000 คน คุณจะรู้สึกอย่างไร! แน่นอนว่าใครหลายคนต้องรู้สึกตื่นเต้นยินดีกับความสำเร็จนี้เป็นอย่างแน่ ไม่ใช่ทุกแบรนด์ที่จะทำได้ เพราะ ‘หลักแสน’ ก็ยังไม่ใช่ ‘หลักล้าน’ อยู่ดี แบรนด์เครื่องดื่มน้ำมะนาวสัญชาติอเมริกา Mike’s Hard Lemonade ที่พอมียอดแฟนเพจครบล้านปุ๊ป! ก็ทำวิดีโอแคมเปญชื่นชมความสำเร็จนี้ทันที และก็นับเป็นเรื่องดีที่จะกระจายความตื่นเต้นนี้ส่งต่อไปยังกับบรรดาแฟนๆของแบรนด์ รวมถึงลูกค้ารายใหม่ที่อาจยังไม่รู้จักแบรนด์ ทั้งนี้นอกจากจะใช้ ‘ความตื่นเต้น’ ดึงกลุ่มเป้าหมายให้มีอารมณ์ร่วมกับแบรนด์แล้ว ก็ยังพลอยทำให้กลุ่มลูกค้าใหม่อยากรู้จักมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
Mike’s Hard Lemonade: Millionth Facebook Fan
httpv://youtu.be/R0dgIsycfz8
ทำไมถึงอยู่หมัด?: แตะยอดแฟนเพจ 1,000,000 คน อาจเป็นเรื่องที่แบรนด์ไหนก็ต้องทำการเฉลิมฉลองเป็นธรรมดา แต่สิ่งที่ทำให้วิดีโอแคมเปญตัวนี้สยบกลุ่มเป้าหมายได้อยู่หมัด คือการเปลี่ยนชื่อแบรนด์หนึ่งวันจาก Mike’s Hard Lemonade เป็น Paul’s Hard Lemonade เพื่อเป็นการขอบคุณนาย Paul Siano ที่กดไลค์ในแฟนเพจเป็นคนที่หนึ่งล้านพอดีเป๊ะ!
‘ความประหลาดใจ’ ในวัยประจำเดือน – (Surprise)
บางทีพวกเราก็เบื่อหน่ายกับวิดีโอโฆษณาที่มีมาให้เสพบนหน้าจอกันอยู่ทุกวี่ทุกวัน เรื่องเดิมๆ พรีเซนเตอร์เดิมๆ บอกรายละเอียดสินค้าจนครบ…เหมือนๆเดิม คงไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะมีวิดีโอโฆษณาที่ทำให้เรา ‘ประหลาดใจ’ หยุดทุกโสตประสาทให้เราต้องดู ต้องฟัง ต้องคิด และติดตามจนจบ เพียงเพื่อต้องการจะรู้แค่ว่า…สุดท้ายแล้วมันคืออะไร? โฆษณาหลายชิ้นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงจากวิธีการเล่าเรื่องแบบเดิมๆ สู่การทำให้เป็นที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้น ด้วยการเปิดเรื่องแบบฉับไว ใช้ตัวละครเล่าเรื่องพร้อมแสดงภาพเหตุการณ์ไปเรื่อยๆ เสมือนนั่งดูหนังสั้นจากกลุ่มเยาวชนอินดี้กลุ่มหนึ่ง โดยที่ไม่มีการบอกเลยว่าวิดีโอชิ้นนี้เป็นโฆษณาของสินค้าอะไร! หลักการของวิธีนี้คือการสร้างความ ‘ประหลาดใจ’ ให้แก่ผู้ชม และต้องติดตามค้นหาต่อว่าตอนจบจะเป็นอย่างไรโดยที่เราแทบไม่รู้ตัว มารู้ตัวอีกทีก็ “อ้อ! ของแบรนด์นี้นี่เอง” นี่คือจุดเด่นของวิธีการนี้ ซึ่งมันทำให้แบรนด์ซึมซับไปกับเราโดยที่เราไม่อาจรู้ตัวได้เลย บางรายก็มีภาคต่อให้ติดตามเหมือนเป็นซีรี่ย์หนังดังวันหยุด บางรายก็จบในตอนเดียวแต่มีหลายภาค และบางรายก็จบอย่างง่ายๆกระชับและได้ใจคนดูในตอนเดียว
Hello Flo: First Moon Party
httpv://youtu.be/NEcZmT0fiNM
ทำไมถึงอยู่หมัด?: Hello Flo แบรนด์ขายผลิตภัณฑ์นานา สำหรับหญิงสาวที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยมีประจำเดือน ด้วยการทำหนังโฆษณาชื่อ ‘First Moon Party’ ซึ่งหมายถึงการเฉลิมฉลองเมื่อมีวันนั้นของเดือนเป็นครั้งแรกในชีวิต เด็กสาวคนหนึ่งอยากมีประจำเดือนมาก เพื่อเป็นการบ่งบอกถึงความเป็นสาวเต็มตัวของเธอ แต่วันแล้ววันเล่าประจำเดือนของเธอก็ไม่โผล่หน้าโผล่ตามาให้เห็นเสียที จนเธอต้องทำการ ‘แกล้งมีประจำเดือน’ นอกจากนี้ยังใช้แม่ของเด็กสาวเป็นตัวเล่าเรื่องอีกมุมนึงที่ไม่ใช่มุมมองที่มาจากเด็กหรือลูกๆอีกด้วย หนังโฆษณาชุดนี้มีวิธีการเล่าเรื่องที่แยบยล สนุก ตลกโปกฮา และยังเป็นเรื่องใกล้ตัวที่เรียกได้ว่ากระทุ้งทั้งอารมณ์คนเป็นลูก และอารมณ์คนเป็นแม่ ด้วยสโลแกนสั้นๆว่า ‘The Gift Before The Gift.’ ถือเป็นโฆษณาที่ชาญฉลาด…ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว!
‘อยากรู้’ ในสิ่งที่รู้ – (Wonder)
โดยปกติ, ความอยากรู้ถือเป็นความรู้สึกที่ทำให้คนติดหนึบได้ดีที่สุด แต่ถ้าหากเป็นความ ‘อยากรู้’ ในสิ่งที่ ‘รู้’ ล่ะ! มันจะยิ่งเหนียวติดหนึบขนาดไหน การตั้งคำถามหรือข้อสงสัยที่น่าสนใจอันนำไปสู่ความอยากรู้ของคนนั้น ถือเป็นอีกวิธีหนึ่งที่หากทำได้ ก็เรียกได้ว่าเอาอยู่หมัดเลยทีเดียว Unilever ออกวิดีโอแคมเปญชิ้นหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า ‘Why Bring a Child into This World?’ คำถามเหมือนจะง่าย ที่ทำให้ใครต่างก็พากันสงสัยว่าจริงๆแล้วทำไมเราถึงอยากมีเด็กทารกกันนัก? ด้วยการนำคู่แต่งงานจากหลายเชื้อชาติ ทั้งกำลังจะมีลูก และเพิ่งมีลูกไป มานั่งพูดคุยถึงความงดงามของการให้กำเนิดเด็กทารก นับเป็นงานโฆษณาอีกชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะทั้งหมดทั้งมวลของการไขข้อสงสัยนั้น ล้วนนำไปสู่โปรเจคแคมเปญตัวใหม่ของ Unilever ที่มีชื่อว่า ‘Project Sunlight’ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Bright Future นั่นเอง
Unilever: Why Bring a Child into This World?
httpv://youtu.be/NL-207QGzN0
ทำไมถึงอยู่หมัด?: หากลองมองย้อนกลับไปแล้วคิดให้ดี แคมเปญตัวนี้มีแกนความคิดที่เฉียบคมและแยบยลเสียจริง ทำไมเด็กทารกถึงต้องเกิดมา? ก็ช่างสอดคล้องกับโปรเจคใหม่แห่งนวัตกรรมทางอนาคตที่สดใสเจิดจ้ากว่าเดิมดังชื่อคอนเซปต์ Bright Future ซึ่งเป็นการชักใยเปรียบเปรยถึงผิวเด็กทารกที่เหล่าบรรดาพ่อแม่ต่างบอกว่าเด็กๆที่เกิดมาคือความสดใสของอนาคต ผิวของพวกเขาช่างพิสุทธิ์กับโลกอันงดงามนี้เสียจริง พร้อมกับดนตรีประกอบเพลงอันแสนเศร้า ดวงตาของพ่อแม่ที่ฉ่ำไปด้วยน้ำตา และก็อีกนั่นแหละที่ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ของ Unilever คือ ครีมทากันแดด หรือครีมที่ใช้กับผิวหนังอันอ่อนโยนของพวกเรานั่นเอง ความร้ายกาจของโฆษณาชิ้นนี้ไม่เพียงแต่ดึงดูดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างสนิทใจ แต่ยังยัดเยียดความรู้สึกของอารมณ์ซึ้งที่หากใครได้ชมก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลยจริงๆ
Sadvertising! มังสวิรัติทำ ‘เศร้าซึ้ง’ ใจ – (Sadness)
ยุคนี้เป็นยุคของ ‘Sadvertising’! ว่ากันว่าอารมณ์เศร้าซึ้งใจ มักทำให้ใครหลายคนต้องใจอ่อน แน่นอนความโศกเศร้า หรือซาบซึ้ง เป็นหนึ่งในตัวการที่สามารถทำให้จิตใจของเราอ่อนโยนลงได้ ซึ่งนั่นนำพาไปสู่การชักจูงและโน้มน้าวที่ง่ายขึ้นด้วย เหมือนปอกกล้วยเข้าปากลิงยังไงยังงั้นเลยทีเดียว เห็นได้ว่าวิดีโอโฆษณาในบ้านเราหลายชิ้นก็ใช้วิธีการนี้ในการคาดคั้นน้ำตาจากพวกเราเช่นกัน บางรายน้ำตาซึมต้องหันไปกอดพ่อกอดแม่ บางรายใจหายใจคว่ำต้องคว้ามือแฟนทันที และอีกมากมายที่เหล่านักโฆษณาจะสรรหามาเล่นกับความรู้สึกของพวกเราได้ ในคราวเดียวกันวิธีนี้ก็แลดูจะใช้ได้ผลกับต่างประเทศเช่นกัน PETA (People for the Treatment of Animals) องค์กรอนุรักษ์สัตว์ของประเทศอเมริกา ออกวิดีโอแคมเปญชิ้นนึงที่ใช้ชื่อว่า ‘Someday’ เพื่อรณรงค์ให้คนหันมารับประทานอาหารมังสวิรัติ ซึ่งวิดีโอตัวนี้มีรูปแบบการเล่าเรื่องที่ไม่เหมือนใคร ด้วยการทำเป็นมิวสิควิดีโอการ์ตูนความยาว 3 นาทีครึ่ง ว่าด้วยวิถีชีวิตของเจ้าไก่น้อยสีเหลืองน่ารักตัวนึง ตั้งแต่ยังเป็นไข่ ยันฟักเป็นตัว กาลเวลาผ่านไปแม่ของมันก็ถูกนำไปฆ่าเพื่อทำเป็นอาหารให้คนกิน พอมันเริ่มโตขึ้น เพื่อนไก่ในคอกที่เติบโตมาด้วยกันก็ค่อยๆถูกนำไปทำเป็นอาหาร จนแล้วจนเล่าก็ถึงคิวของเจ้าไก่น้อยตัวนี้ เดชะบุญ! มันหนีรอดมาได้ เดินตุปัดตุเป๋จนไปเจอกับองค์กร PETA ที่ทำให้คำว่า ‘สักวันหนึ่ง’ ของเจ้าไก่น้อยตัวนี้เป็นจริง กับประโยคที่ทิ้งท้ายเอาไว้ว่า ‘Make Someday Today…Try Vegan’
PETA: Someday (Morrissey’s New Opening Act)
httpv://youtu.be/RdMffjLX5T8
ทำไมถึงอยู่หมัด?: เหตุผลง่ายๆที่พล็อตหนังของค่าย Disney ส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กที่โดนพรากจากพ่อแม่ และตอนจบก็มักจะ Happy Ending เสมอ นั่นก็เพราะคนดูชอบความ ‘เศร้า’ ที่ ‘ซึ้ง’ กินใจ และจบแบบสวยงามในตอนจบนั่นเอง องค์กร PETA ก็ใช้หลักการนี้เช่นกัน แถมยังเป็นมิวสิควีดีโอการ์ตูนสั้นๆที่ไม่น่าเบื่อ ดูง่าย เข้าใจง่าย เศร้าง่าย ซึ้งง่าย และก็สุขง่ายอีกด้วย มิหนำซ้ำเพลงที่ใช้ประกอบเอ็มวีนั้น ยังเป็นบทเพลงของ David Morrissey เจ้าพ่อแห่งการแต่งเพลงอารมณ์เศร้า ที่โด่งดังมากในยุค 90’s อีกด้วย…จะไม่อยู่หมัดอย่างไรไหว?
‘ความพึงพอใจ’ ที่มาพร้อม ‘ความภาคภูมิใจ’ – (Satisfaction)
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘ความพึงพอใจ’ คือสิ่งที่ผู้บริโภคล้วนต้องการมากที่สุด แต่หากจะกล่าวถึงวิดีโอโฆษณาชิ้นนึงของ Powerade แบรนด์เครื่องดื่มเกลือแร่ ที่สับขาอารมณ์สิบแปดตลบ ด้วยการหยิบยื่นความพึงพอใจ ที่ไม่ได้มาจากตัวสินค้าแต่อย่างเดียว แต่เป็นความพึงพอใจที่เกิดจากความภาคภูมิใจในการใช้ชีวิต…ก็แลจะกินใจคนดูอยู่ไม่น้อย เปิดเรื่องด้วยเด็กน้อยที่พิการขาข้างนึง กับภาพแห่งการใช้ชีวิตด้วยขาข้างเดียวในความยาว 2 นาที ตั้งแต่เล็กจนโต โฆษณาได้แสดงให้เห็นว่าเด็กน้อยคนนี้ แม้จะมีขาไม่ครบเหมือนกับคนอื่นๆ แต่เขาก็สามารถใช้ชีวิตได้แบบคนปกติทั่วไปอย่างไม่ขาดตกบกพร่องเลย อีกทั้งยังเป็นนักกีฬาฟุตบอลที่ทำประตูได้หลายลูกอีกด้วย กับสโลแกนตอนจบที่ทิ้งเอาไว้ว่า ‘There’s a Power in Every Game’ ก็ถึงกับเล่นเอาคนดูหลายคนพึงพอใจกับช่วงชีวิตที่ตนได้ฝ่าฝันมาจนถึงทุกวันนี้เลยทีเดียว
Powerade: Nico Calabria’s Story of Defying Expectations
httpv://youtu.be/wlwG6yE7Jt4
ทำไมถึงอยู่หมัด?: มีหลายห้วงอารมณ์ที่เกิดขึ้นภายในวิดีโอความยาว 2 นาทีนี้ จากเด็กน้อยที่ล้มลุกคุกคลาน หัดยืน หัดเดิน หัดวิ่ง และทำกิจกรรมทุกอย่างแบบที่คนปกติทำ จนบทสรุปสุดท้ายเขาสามารถทำประตูในสนามฟุตบอลได้แม้จะมีเพียงแค่ขาข้างเดียวก็ตาม นั่นแหละ! ความพึงพอใจที่ Powerade หยิบยื่นให้กับเรา
‘ความเชื่อมั่น’ จาก ลูก สู่ พอ…จาก พ่อ สู่ แบรนด์ – (Confidence)
เรามักเชื่อเสมอว่า…แม่คือคนที่คอยดูแลเอาใส่ใจทุกรายละเอียดของลูกอย่างใกล้ชิด ‘แม่’ มักจะเป็นคำที่ลูกๆเรียกหาในยามที่เกิดปัญหา ในขณะที่ ‘พ่อ’ คือคนที่คอยกำกับดูแลทุกย่างก้าวของลูกอยู่อย่างห่างๆ Dove จึงหยิบช่องว่างนี้มาทำเป็นวิดีโอโฆษณาให้กับแคมเปญใหม่ของแบรนด์ ‘Dove Men+Care’ ผลิตภัณฑ์เพื่อผิวหน้าและผิวกายสำหรับผู้ชาย หรืออีกแง่นึงที่เห็นจากโฆษณาก็คือ…สำหรับ ‘คุณพ่อ’ นั่นเอง ในวิดีโอความยาว 1 นาทีนี้ เราจะได้ยินเสียงลูกๆเรียก “Daddy!” ร้องหาพ่อตลอดทั้งเรื่อง ทั้งนี้ก็เพื่อจะทำให้คนดูรู้สึกว่าอันที่จริงแล้ว คนเป็นพ่อก็สามารถทำหน้าที่แบบคนเป็นแม่ได้เช่นกัน ไม่ว่าจะใส่เสื้อผ้าให้ลูก ล้างก้นให้ลูก ปลอบเวลาที่ลูกร้องไห้ หวีผมให้ หอมหน้าผากก่อนลูกจะไปโรงเรียน หรือแม้แต่ทำอาหารให้ลูกทาน ทั้งนี้ก็เพื่อโยงทุกสิ่งทุกอย่างให้เข้ามาสู่แคมเปญใหม่ของ Dove นั่นเอง โดยมีสโลแกนในวิดีโอว่า ‘Isn’t It Time We Celebrate Dads?’
Dove: Calls for Dad #RealDadMoments
httpv://youtu.be/7Jpb2_YdxYM
ทำไมถึงอยู่หมัด?: กว่าช้านานมาแล้วที่คนเป็นพ่อมักไม่ค่อยได้รับเครดิตความเชื่อมั่นในเรื่องของความละเอียดอ่อนในการดูแลลูกมากนัก แต่สำหรับยุคนี้ความเป็นพ่อได้ถูกเปลี่ยนไปแล้ว เพราะคนเป็นพ่อในยุคนี้รับบทบาทของพ่อบ้านมากขึ้น กลับกลายเป็นแม่เสียด้วยซ้ำ ที่ทำงานกลับดึกดื่น ติดประชุม จนไม่ค่อยมีเวลาอยู่บ้านกับลูกๆ นับว่า Dove จับประเด็นในจุดนี้ได้อย่างดีทีเดียว หนำซ้ำตัววิดีโอยังถ่ายทอดความรู้สึกช่องว่างของคนเป็นพ่อได้อย่างดี อีกทั้งยังมอบอารมณ์ความเชื่อมั่นที่มีต่อคุณพ่อมากยิ่งขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องชื่นชมความครีเอทีฟของ Dove ที่จับประเด็นและถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้ดี หลังจากได้ลองชมวิดีโอ ‘Dove Men+Care’ เสร็จ เราจะรู้ว่าคนเป็นพ่อสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่เราคิดเสียอีก
ความทรงจำที่หวน ‘คิดถึง’ – (Nostalgia)
อดีตเป็นเรื่องอมตะเสมอ เพราะเชื่อกันว่าความทรงจำไม่มีวันตาย ยุคสมัยของโลกก็เช่นกัน เคยไหมที่บางครั้งความเท่าทันของเทคโนโลยีที่ฉับไวเสียจนเกินไป ทำให้เราคิดถึงเทคโนโลยีแบบเดิมๆ Microsoft ออกวิดีโฆษณา Internet Explorer เวอร์ชั่นใหม่ ชื่อว่า ‘Child of the 90s’ ที่จะพาเรารำลึกถึงความทรงจำในยุค 90’s ไม่ว่าจะเป็น คนกลุ่ม Gen-Y, ของเล่นโยโย่, Floppy Disk, ไลฟ์สไตล์แบบ Slow Life, หรือแม้กระทั่งแอพฯเลี้ยงสัตว์ก้อนกลมๆที่มีชื่อว่า Tamagotchi ซึ่งนับเป็นวิดีโอโฆษณาที่กระตุ้นอารมณ์ของคนดูได้ดีทีเดียว เพราะเป็นการฉายภาพย้อนให้คนดูรู้สึกเกิดอาการถวิลหา และนึกถึงความทรงจำดีๆที่เราเคยมีให้กับเทคโนโลยีเก่าๆ ทั้งนี้ก็เพื่อจะให้คนดูรู้สึกถึงความอมตะของเทคโนโลยีสมัยก่อน หรือความเป็นอมตะของ Internet Explorer นั่นเอง ทั้งหมดทั้งมวลชักนำไปสู่การโฆษณาเวอร์ชั่นใหม่ของบราวเซอร์ที่เคยฮิตเมื่อหลายสิบปีก่อน และเป็นบราวเซอร์ที่บ้านไหนก็ต้องใช้อย่าง Internet Explorer กับสโลแกนตอนท้ายสั้นๆว่า ‘Reconnect with the New Internet Explorer’
Microsoft: Child of the 90’s (Internet Explorer)
httpv://youtu.be/qkM6RJf15cg
ทำไมถึงอยู่หมัด?: เมื่อตอนที่โลกเรารู้จักแต่คำว่า Microsoft ชีวิตของคนในยุคนั้นก็ถือว่าสะดวกสบาย เพรียบพร้อมดีอยู่แล้ว ขณะที่ Bill Gate คือเจ้าสังเวียน และ Steve Job คือคนที่อยู่แค่ขอบสนาม โฆษณาชิ้นนี้ช่วยขย้อนความรู้สึกเหล่านั้นกลับมาให้กับเรา เป็นอย่างที่เรารู้กันว่าความคลาสสิคคือสิ่งที่อมตะเสมอ จึงไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่ Microsoft จะย้ำเตือนความทรงจำเหล่านั้นให้กับคนดูอีกครั้ง ซึ่งบางทีเทคโนโลยีสมัยใหม่ก็ทำให้เรามองข้ามถึงความเรียบง่ายที่พอดิบพอดีไป เชื่อว่าหลายคนหลังจากดูโฆษณาชิ้นนี้จบแล้ว อาจโยน ‘iOS’ ทิ้ง แล้วเรียกร้องหา ‘Windows’ กันมากขึ้น…ก็เป็นได้
มีคนเคยกล่าวว่า Brain less, Heart more…Think less, Feel more อารมณ์มักเหนือคมชัดเสมอ ทุกครั้งก่อนจะเชื่อในสิ่งใด เมื่อใช้หัวสมองแล้ว ก็อย่าลืมใช้หัวใจกันให้มากขึ้นด้วยนะครับ