เพราะตลาดอาเซียนคือเป้าหมายที่ต้องการพุ่งชน บริษัท วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด จึงประกาศ 3 ผู้ร่วมทุนใหม่ ‘อินทัช-ธนาคารออมสิน-ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย’ ปูทางสร้างความแข็งแกร่งด้านการเงินและขยายสู่ธุรกิจดิจิทัล มาร์เก็ตติ้งใหม่ ๆ เพื่อจะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2563 ก่อนจะบุกตลาดอาเซียนทันที
ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับถึงความแรงของสื่อดิจิทัล โดยเม็ดเงินที่แบรนด์ต่าง ๆ ใช้ผ่านสื่อนี้เติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 30-40% และยังมีการเติบโตต่อเนื่อง อย่างในปี 2560 มีมูลค่า 12,402 ล้านบาท ส่วนในปีนี้คาดการณ์ว่า จะอยู่ที่ 14,330 ล้านบาท
จากภาพดังกล่าว ทำให้บริษัท วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้ให้บริการด้านดิจิทัล มาร์เก็ตติ้งครบวงจร ในเครือ Yello Digital Marketing (YDM) ประเทศเกาหลีใต้ เตรียมรองรับการเติบโตที่เกิดขึ้นและชิงโอกาสทางธุรกิจ ด้วยการประกาศเปิดตัว 3 ผู้ร่วมทุนใหม่ ได้แก่
บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) โดยโครงการ InVent ด้วยเงินลงทุน 30 ล้านบาท , บริษัทเอ็น-เวสต์ เวนเจอร์ จำกัด และ บริษัท พรีเมียร์ แอ็ดไวซ์เซอรี่ กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นผู้จัดการกองทรัสต์ SME Private Equity Trust Fund โดย ธนาคารออมสิน และ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อีก 60 ล้านบาท
ผลจากการได้ผู้ร่วมทุนใหม่ครั้งนี้ ทำให้สัดส่วนผู้ถือหุ้นในวายดีเอ็ม (ไทยแลนด์)แบ่งเป็น วายดีเอ็ม เกาหลี 30% กลุ่มผู้ร่วมทุนใหม่ทั้ง 3 ราย 30% อีก 40 % เป็นของ ‘ธนพล ทรัพย์สมบูรณ์’ ซีอีโอ บริษัท วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด
ส่วนเป้าหมาย ก็เพื่อการก้าวสู่ความเป็นกลุ่มบริษัทดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง อันดับ 1 ของไทย และนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในปี 2563 เพื่อรองรับการขยายการเติบโตธุรกิจทั้งในประเทศไทย รวมถึงการบุกตลาดอาเซียนในอนาคต
“ตลาดดิจิทัลยังเติบโตได้อีกมาก และไทยเองเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ สัดส่วนของสื่อดิจิทัลก็ยังเล็กอยู่ คือ เพียง 10% ขณะที่จีนอยู่ราว 57% เกาหลี 30% สหราชอาณาจักร 60% อเมริกาก็อยู่ที่ 30% นั่นหมายถึงยังมีโอกาสอีกเยอะ” ธนพล กล่าว
ขยายธุรกิจด้านเทคโนโลยี–แพลตฟอร์มเร่งโต
หลังจากมีผู้ร่วมทุนใหม่แล้ว ทาง วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด จะมีการขยายธุรกิจอีกหลายส่วน โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีและแพลตฟอร์ม ที่จะเห็น 3-4 ตัวภายในปีนี้ อย่างเช่น การเปิดแพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลส ที่จะเห็นในไตรมาส 3
รวมไปถึงการตั้งบริษัทใหม่ที่ให้บริการด้าน Influencer ที่มีรูปแบบต่างไปจากเดิม โดยจะเน้นไปที่เหล่า Celebrity ที่มีฐานแฟนติดตามจำนวนมาก เพราะเชื่อว่า จะสามารถเป็นกระบอกเสียงที่สร้างกระแสความสนใจได้ดี จากนั้นค่อยเลือกยุทธวิถีอื่นเข้ามาเสริมในการตัดสินใจซื้อ ฯลฯ
ขณะที่ปัจจุบันทาง วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) มีบริษัทในเครืออยู่ 7 บริษัท ได้แก่
-Adyim ให้บริการทางด้านDigital Marketing Solution Hub ตั้งแต่การวางกลยุทธ์ออนไลน์ สร้างสรรค์ไอเดีย, วางแผน Social Media, จัดซื้อสื่อออนไลน์, Bloggers, Influencers, SEO, SEM, จัดทำเว็บไซต์, VDO Production, Mobile Application, Data Analysis, Big Data ฯลฯ
– Gottimize บริษัทวางแผนและการซื้อสื่อโฆษณาออนไลน์แบบเน้นผลลัพธ์ที่จับต้องได้
– Alt65 เจ้าของแพลตฟอร์ Revu ที่เชี่ยวชาญด้านการสร้างรีวิวสินค้า ผ่าน Micro influencer มีนักรีวิวในเน็ตเวิร์กกว่า 8,000 คน และสร้างรีวิวมาแล้วกว่า 1 หมื่นรีวิวบนโลกออนไลน์
– Adpocket ผู้ให้บริการแอพพลิเคชั่น Mobile Screen Lock Ads ที่เปลี่ยนหน้าจอมือถือให้เป็นพื้นที่โฆษณา มีฐานผู้ใช้งานราว 5 ล้านคน
– Doer บริษัทให้บริการด้าน Freelance Management Platform โดยมีทีมฟรีแลนซ์ทำงานผ่านระบบมากกว่า 200 คน
– AVG บริษัททำดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งสำหรับเจาะตลาดจีน และนักท่องเที่ยวจีนในไทย ที่เป็น Official Partner กับ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ในจีน Baidu, Tencent , Alibaba
– Nawin บริษัทที่ปรึกษาด้านครีเอทีฟ เริ่มตั้งแต่แบรนดิ้ง ไปถึงการหา Business Model และไอเดียในการทำโฆษณา
“ทั้งหมดเราเชื่อว่า จะทำให้รายได้ของเราเติบโตต่อเนื่อง จาก 380 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา เพิ่มเป็น 600 ล้านบาทในปีนี้ และในปี 2563 ที่จะเอาบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯรายได้ต้องแตะ 1,200 ล้านบาท ซึ่งหลังจากเอาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯแล้ว เราจะบุกตลาดอาเซียนทันที”
นำร่อง 3 ธุรกิจแพลตฟอร์ม เจาะตลาดเวียดนาม
สำหรับประเทศในอาเซียน ที่ทาง ซีอีโอ บริษัท วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด ให้ความสนใจ ได้แก่ เวียดนาม ด้วยเหตุผลที่ว่า มีอัตราการเร่งทางเศรษฐกิจและการเติบโตของสื่อดิจิทัลที่ดีมาก
ส่วนรูปแบบธุรกิจที่จะนำไปขยายนั้น เริ่มต้นจะเป็นบริการด้านแพลตฟอร์ม ได้แก่ Adpocket ผู้ให้บริการแอพพลิเคชั่น Mobile Screen Lock Ads , Doer บริษัทให้บริการด้าน Freelance Management Platform และ Alt65 เจ้าของแพลตฟอร์ Revu เชี่ยวชาญด้านการสร้างรีวิวสินค้า ผ่าน Micro influencer
จากนั้น จะพยายามมองหาโอกาสทางธุรกิจในตลาดอื่น ๆ เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัทต่อไป
ไม่ว่าการไปบุกตลาดอาเซียน จะเป็นเช่นไร แต่ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของ วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) ถือเป็นก้าวที่น่าจับตามองเป็นอย่างมากในธุรกิจดิจิทัล มาร์เก็ตติ้งของบ้านเรา