ถึงคราว “เสียวหมี่” ประกาศศักดา! ไต่ทำเนียบ Fortune Global 500 หลังผจญมรสุม 9 ปี บนเส้นทางธุรกิจ

  • 2
  •  
  •  
  •  
  •  

Credit : CookieWei / Shutterstock.com

หากพูดถึงแบรนด์เทคโนโลยีที่มีภาพลักษณ์ทันสมัย แถมยังเข้าถึงและครองใจวัยมิลเลนเนียลชาวไทยได้ น่าจะมีชื่อของ เสียวหมี่ (Xiaomi) ติดอันดับด้วย เพราะตั้งแต่ปี 2018 แบรนด์นี้ก็เคยติด Top 10 ของ 2018 Millennial Word of Mouth Rankings ที่ค้นหา Word of Mouth เชิงบวกของแบรนด์ที่ผู้บริโภคเกิดการรับรู้ภายในช่วงเวลาทำสำรวจ ซึ่งผลการสำรวจดังกล่าว เสียวหมี่ เป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ IoT เพียงรายเดียวที่ติดอันดับ แถมยังเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่กลุ่มมิลเลนเนียลพูดถึงมากขึ้นในปีเดียวกันนั้น

สถานการณ์ของเสียวหมี่ในปีนี้ยังส่งสัญญาณดีอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด…

ติดทำเนียบ Fortune Global 500 โดยอยู่ในอันดับที่ 468 ของการจัดอันดับบริษัทที่มั่งคั่งระดับโลก

แถมยังติดอันดับ 7 ประเภทบริษัทที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตและการค้าปลีก

ต้องบอกก่อนว่า เสียวหมี่ ถือเป็นบริษัทที่มีอายุการก่อตั้งและระยะเวลาในการดำเนินกิจการน้อยที่สุดในบรรดาบริษัททั้งหมดที่อยู่ในการจัดอันดับ Global 500 ประจำปี 2019 ซึ่งถือว่าใช้ระยะเวลาประสบความสำเร็จครั้งนี้หลังจากดำเนินธุรกิจเพียง 9 ปี โดยความสำเร็จของแบรนด์ Mi ดังกล่าว เกิดขึ้นภายใต้รายได้รวม 26,443.50 ล้านเหรียญสหรัฐ กับกำไรสุทธิที่ 2,049.10 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อปีก่อน

เสียวหมี่ Fortune Global 500
ครั้งแรกที่ชื่อ “เสียวหมี่” ติดอันดับ Fortune Global 500

เรื่องนี้ทำเอา เหลย จวิน ผู้ก่อตั้ง ประธานกรรมการ และ CEO เสียวหมี่ ถึงกับยกความดีความชอบให้กับลูกค้า โดยกล่าวว่า “การเดินทาง 9 ปีของเสียวหมี่ ต้องขอบคุณบรรดา Mi Fans และผู้ใช้งานทั่วโลกที่สนับสนุนแบรนด์อย่างเหนียวแน่น นี่จะเป็นความภูมิใจที่เราจะเก็บไว้ย้ำเตือนอยู่เสมอ สู่จุดหมายการขยายธุรกิจให้ครอบคลุมทั่วโลก”

ปีที่ผ่านมา เสี่ยวหมี่ได้พัฒนายุทธศาสตร์และปรับกลยุทธ์หลักหลายด้าน ทั้งโครงการสร้างการบริหารงาน ระบบการศึกษาวิจัยและพัฒนาสายการผลิต การพัฒนาแบรนด์ เป็นต้น ท่ามกลางภาวะการแข่งขันอย่างดุเดือดทั้งภายในประเทศและทั่วโลก ภายใต้ทิศทางของแบรนด์ที่ประกาศว่า เป็นแบรนด์ที่เต็มเปี่ยมด้วยคุณภาพ นวัตกรรม ราคาที่จริงใจ และซื่อสัตย์ต่อผู้บริโภค ซึ่งก่อนหน้านี้ เสียวหมี่ก็เคยได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน 500 บริษัทที่ให้ที่สุดในประเทศจีน หรือ Fortune’s China 500 มาแล้ว สะท้อนถึงความแข็งแกร่งพอตัวในการต่อสู้กับสารพัดคู่แข่ง

ในแง่เทคโนโลยี เสียวหมี่ก็เป็นแบรนด์หนึ่งที่ทุ่มงบประมาณเพื่อพัฒนาเรื่อง AI และ AIoT ซึ่งแบรนด์มีเป้าหมายในการพัฒนาแพลตฟอร์มที่เรียกว่า All in AIoT สำหรับ 5 ปีข้างหน้า ด้วยงบประมาณราว 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อสนับสนุนแพลตฟอร์มสำหรับสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ IoT

ความสำเร็จที่ผ่านมาของเสียวหมี่ ก็ถือเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดและน่าสนใจ เพราะในปี 2012 แบรนด์เพิ่งมีรายได้จากการขาย 1,453.72 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ในปี 2017 สามารถเป็น 14,537.21 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในระยะเวลา 5 ปี กับตัวเลขที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 13,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และหากพูดถึงความสำเร็จในตลาดสมาร์ทโฟน เมื่อเดือนมีนาคมปีนี้ IDC ยังเคยระบุว่า เสียวหมี่คือแบรนด์อันดับ 4 ในตลาดสมาร์ทโฟนโลก จากความสำเร็จด้านรายได้ที่เพิ่มขึ้นถึง 32.2% ทั่วโลก โดยบริษัทได้ร่วมลงทุนกับบริษัทพัฒนาผลิตภัณฑ์กลุ่ม Ecosystem มากกว่า 200 บริษัท ส่งผลให้แพลตฟอร์ม IoT ของเสียวหมี่แข็งแกร่งและมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกแบรนด์หนึ่ง กับจำนวนสมาร์ทดีไวซ์กว่า 171 ล้านผลิตภัณฑ์ ที่วางจำหน่ายอยู่ใน 80 ประเทศทั่วโลก ภายใต้กลยุทธ์ที่แบรนด์พยายามขยายร้านค้าที่เรียกว่า Mi Home Store ไปทั่วโลก ซึ่งขณะนี้มีทั้งสิ้นกว่า 480 ร้านทั่วโลก โดยตลาดใหญ่อยู่ที่ยุโรป 110 ร้าน และอินเดีย ประมาณ 79 ร้าน


  • 2
  •  
  •  
  •  
  •  
Ms.นกยูง
เมื่อโลกไม่เคยหยุดหมุน เราก็ไม่ควรหยุดเรียนรู้... ชวนคุณมาทำความรู้จักหลากหลายเรื่องราว ทั้งสาระและสีสันบนโลกดิจิทัลไปพร้อมกัน