ตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา AI กลายเป็นเทคโนโลยีที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดด ที่นอกจากจะช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแผนได้อย่างแม่นยำและดำเนินธุรกิจได้อย่างรวดเร็วและเข้าถึงผู้บริโภคแล้ว ในด้านของบุคคลทั่วไปก็ยังช่วยให้ชีวิตประจำวันสะดวกมากยิ่งขึ้น แต่อย่างว่า…สิ่งที่มีประโยชน์และเกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวนมาก ก็มักจะมีตัวร้ายแอบแฝงเข้ามา
ทำให้หลังๆ เริ่มมีการใช้งาน AI ในทางที่ผิด ทั้งหลอกลวงทรัพย์สินเงินทองด้วยวิธีการดูดข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ หรือการใช้เทคโนโลยี AI เสมือนที่หลายคนตกเป็นเหยื่อมาไม่น้อย ซึ่งไม่ใช่แค่คนไทยเท่านั้นที่ประสบปัญหา แต่ผู้คนทั่วโลกก็โดนไม่แพ้กัน สุดท้ายสหภาพยุโรปก็ได้ทำสิ่งที่หลายคนเฝ้ารอคอย ด้วยการอนุมัติกฎหมายเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ฉบับแรกของโลก
ทำความรู้จักกฎหมาย AI
แม้ว่ากฎหมาย AI ฉบับแรกของโลกจะเป็นสหภาพยุโรปเป็นคนตรากฎหมายนี้ แต่ก็จะกลายเป็นกฎหมายแม่บทและเป็นบรรทัดฐานให้ทั่วโลกนำไปใช้ รวมถึงพัฒนากฎหมายตามแต่บริบทของแต่ละประเทศ ซึ่งกฎหมาย AI จะเน้นการกำหนดมาตรฐาน การใช้งานและการพัฒนา AI ที่มีผลกระทบต่อผู้คนจำนวนมากเป็นหลัก เช่น ระบบที่ใช้ในการแพทย์ การขนส่ง และการบังคับใช้กฎหมาย
โดยกฎหมายแบ่งประเภทของระบบ AI ออกเป็น 3 กลุ่ม
- ระบบ AI ที่มีความเสี่ยงสูง (High-Risk AI Systems): รวมถึงระบบที่ใช้ในการศึกษา การฝึกอบรมวิชาชีพ การสรรหางาน การประเมินผลผู้สมัครงาน การเข้าถึงบริการสาธารณะและเอกชนที่จำเป็น การบังคับใช้กฎหมาย การจัดการระบบผ่านแดนและการควบคุมพรมแดน รวมถึงระบบที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม
- ระบบ AI ที่มีความเสี่ยงจำกัด (Limited Risk AI Systems): ระบบที่ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ด้านความโปร่งใส เช่น การแจ้งผู้ใช้เมื่อมีการใช้งาน AI หรือการใช้เครื่องมือสร้างเนื้อหาด้วย AI จะต้องมีการใส่ลายน้ำเพื่อบอกว่าเนื้อหานั้นถูกสร้างขึ้นโดย AI
- ระบบ AI ที่มีความเสี่ยงน้อยหรือไม่มีความเสี่ยง (Minimal or No Risk AI Systems): ระบบที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับผู้คนหรือมีผลกระทบทางวัตถุเพียงเล็กน้อย เช่น ตัวกรองอีเมล์ สแปมและ AI ในวิดีโอเกม ระบบเหล่านี้ไม่ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ส่วนใหญ่ของกฎหมาย
โดยกฎหมายนี้จะมุ่งเน้นการสร้างกรอบการทำงานที่ปลอดภัยและโปร่งใส เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้งาน AI และสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนจะมีการตรวจสอบและมีบทลงโทษในกรณีที่ไม่ปฏิบัติตาม (Non-Compliance) โดยการคิดค่าปรับตามกฎหมาย AI สูงถึง 30 ล้านยูโร หรือ 6% จากรายได้ทั่วโลกขององค์กรนั้น ขึ้นอยู่กับว่าจำนวนใดสูงกว่า (European Commission) กรณีที่ใช้ AI ในการก่ออาชญากรรมหรือทำให้เกิดความเสียหายต่อสังคมอย่างรุนแรง จะมีบทลงโทษเพิ่มเติมตามข้อกำหนดของสหภาพยุโรป
กฎหมายสู่การปรับตัว
เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งกฎหมายที่ธุรกิจไทยควรปรับตัวเพื่อรับมือ หลังจากที่มีการประกาศใช้กฎหมาย CBAM ไปแล้วเมื่อไม่นานมานี้ นั่นหมายถึงธุรกิจจะต้องมีการลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อให้ผลิตภัณฑ์และบริการมีความปลอดภัยและปฏิบัติตามมาตรฐานที่กำหนด โดยเฉพาะธุรกิจที่ใช้ AI ในด้านที่มีความเสี่ยงสูง เช่น การแพทย์และการขนส่ง จะต้องมีการตรวจสอบและรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
แต่หากมองในแง่ของผู้บริโภคก็ต้องยอมรับว่า เป็นกฎหมายที่เอื้อต่อผู้บริโภค อย่างการใช้ AI ในการวินิจฉัยโรคทางการแพทย์ ซึ่งกฎหมาย AI จะกำหนดให้มีการตรวจสอบและรับรอง AI ที่ใช้ในด้านการแพทย์อย่างเข้มงวด เพื่อให้แน่ใจว่าการวินิจฉัยมีความแม่นยำและไม่มีข้อผิดพลาด หรือการใช้ AI ในรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยตัวเอง ซึ่งต้องมีมาตรการความปลอดภัยที่เข้มงวดเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นบนท้องถนน
แต่กฎหมาย AI จะเริ่มใช้จริงอย่างน้อยช่วงปีหน้าหรืออย่างช้าก็อีก 3 ปี เพื่อให้โอกาสธุรกิจในการดำเนินการแก้ไขให้เป็นไปตามรายละเอียดข้อกฎหมาย
Source: CNBC