ในเดือนหน้าการแข่งขันฟุตบอลโลก ปี 2018 ณ ประเทศรัสเซีย กำลังจะระเบิดศึกขึ้นในวันที่ 14 มิ.ย. ไปจนถึงวันที่ 15 ก.ค. 2561 แต่หลายคนอาจสงสัยว่า ค่าลิขสิทธิ์ที่จ่ายไปมูลค่า 1,400 ล้านบาท หากมองในเชิงธุรกิจแล้ว คุ้มค่ากับเงินที่ลงทุนไปหรือไม่
ฟุตบอล ถือเป็นกีฬาอันดับ 1 ที่คนทั่วโลกให้ความสนใจ รวมถึงคนไทย ยิ่งเป็นการแข่งขันฟุตบอลระดับโลกที่ 4 ปีถึงจะจัดขึ้นด้วยแล้ว ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจเข้าไปอีก ทำให้ที่ผ่านมีเอกชนหลายรายต้องสู้กันยิบตา เพื่อประมูลลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกมาไว้ในครอบครอง
แต่ไม่ใช่การแข่งขันในปี 2018 จนก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่า คนไทยอาจจะอดชมการถ่ายสดมหกรรมกีฬาครั้งนี้ เหตุผลเพราะว่า
- ค่าลิขสิทธิ์ที่สูงขึ้นมาอยู่ในระดับพันล้านบาทสำหรับการได้สิทธิ์เพียงครั้งเดียว ต่างจากอดีตที่การซื้อสิทธิ์จะเป็นการประมูล 2 ครั้งรวดและราคาอยู่ในหลักระดับร้อยล้านบาทเท่านั้น
อย่างในปี 2002 และ ปี 2006 บริษัท ทศภาค ในเครือไทยเบฟเวอเรจ ได้คว้าลิขสิทธิ์มาในมูลค่ารวมกว่า 700 ล้านบาท ถัดมา ในปี 2010 และ 2014 อาร์เอสเป็นผู้ชนะการประมูล ซึ่งแม้จะไม่มีการเปิดเผยถึงเม็ดเงินที่จ่ายไป แต่มีการคาดการณ์ว่า ไม่ถึงหลักพันล้านบาท
2. กฎ Must Have ของ กสทช. ที่ระบุว่า ฟุตบอลโลก เป็น 1 ใน 7 รายการกีฬาที่ต้องเผยแพร่ทางฟรีทีวีเท่านั้น ( อีก 6 รายการกีฬา ได้แก่ ซีเกมส์ , อาเซียนพาราเกมส์ , เอเชียนเกมส์ , เอเชียนพาราเกมส์ , โอลิมปิก และพาราลิมปิก) เท่ากับว่า นอกเหนือจากค่าโฆษณาแล้ว ผู้ได้สิทธิ์จะไม่สามารถหารายได้ด้วยการเก็บค่าลิขสิทธิ์ หากมีการนำไปเผยแพร่ในช่องทางอื่น ๆ เช่น ร้านอาหาร , ผับ ฯลฯ ได้เหมือนในอดีต
แม้ฟุตบอลโลกครั้งนี้ ตามเวลาในประเทศไทยจะมีการเตะในช่วงไพร์มไทม์ที่ไม่ดึก โดยคู่แรก เริ่ม 19.00 น. คู่ที่ 2 เวลา 22.00 น. คู่สุดท้าย เวลา 01.00 น.
แต่ก็ไม่มีเอกชนรายใดสนใจเข้าไปประมูลมา เพราะเกรงจะไม่คุ้มค่ากับเงินที่ลงทุนไปนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายคนไทยก็ได้ชมการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 หลังการจับมือของ 9 องค์กรในการลงขัน 1,400 ล้านบาท เพื่อคว้าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดมา โดยมี บริษัท ทรูวิชั่นกรุ๊ป จำกัด เป็นตัวแทนเจรจาฝ่ายไทย ตามข้อกำหนดของฟีฟ่าที่ว่า จะเจรจาและลงนามในสัญญาเฉพาะกับบริษัทผู้ประกอบการธุรกิจบรอดคาสติ้งเท่านั้น
สำหรับ 9 องค์กร ได้แก่ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด(มหาชน) , บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด(มหาชน) , บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด(มหาชน) , บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) , ธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) , บริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด(มหาชน) ซึ่งทั้ง 6 องค์กรนี้ให้การสนับสนุนเงินรายละ 200 ล้านบาท
บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด(มหาชน) ให้การสนับสนุน 100 ล้านบาท อีก 2 รายที่เหลือให้การสนับสนุนเงินรายละ 50 ล้านบาท ประกอบด้วย บริษัท บางจากคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) และ บริษัท คาราบาวตะวันแดง จำกัด (มหาชน)
มาดูกันว่า 1,400 ล้านบาทที่จ่ายไปสำหรับการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกครั้งนี้ แบ่งเป็นค่าอะไรบ้าง
ก่อนหน้านี้ทาง ‘พีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา’ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านคอนเทนต์และมีเดีย บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้เปิดเผยว่า งบดังกล่าวจะถูกนำไปใช้ใน3 ส่วนหลัก ได้แก่
ส่วนแรก ค่าลิขสิทธิ์ ซึ่งตามราคาที่บริษัท อินฟรอนท์ สปอร์ต แอนด์ มีเดีย เป็นผู้ได้รับลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกในเอเชียยื่นมา ก็คือ 30 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 960 ล้านบาท และเป็นค่าลิขสิทธิ์สำหรับปี 2018 เพียงปีเดียวเท่านั้น
ส่วนที่ 2 ค่าระบบเทคนิคต่าง ๆ ในการรับส่งสัญญาณ ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่าดาวเทียม, การทำโปรดักชั่น , ทีมพากย์ ฯลฯ ที่ไม่สามารถเปิดเผยตัวเลขได้
โดยบอลโลก 2018 จะถ่ายทอดทางดิจิทัลทีวี 3 ช่อง ได้แก่ ทรูโฟร์ยู , อมรินทร์ทีวี และช่อง 5 , ทางระบบทีวีบอกรับสมาชิก หรือ PAY TV ทางทรู วิชั่นส์ ที่จะถ่ายทอดในระบบ 4 K และชมออนไลน์ทางแอพพลิเคชั่น ทรูไอดี
ส่วนที่ 3 ค่าการตลาด สำหรับโปรโมทบอลโลก และแคมเปญการตลาด ‘สวัสดีบอลโลก’ ในทุกๆ ช่องทางทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งงบในส่วนนี้วางไว้ราว 65 ล้านบาท
แล้วผู้สนับสนุนทั้ง 9 องค์กรได้อะไร
ตามที่เปิดเผยกัน ผู้สนับสนุนทั้ง 9 รายนั้น จะได้เวลาโฆษณา 1,344 นาที จากการออกอากาศ 64 แมตช์ โดยสัดส่วนจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับเงินที่ให้การสนับสนุน
รวมถึงใช้สิทธิ์ของการเป็นผู้สนับสนุนทำแคมเปญ ‘สวัสดีบอลโลก’ ได้ และเพื่อให้แคมเปญปังยิ่งขึ้น แต่ละรายเองก็ได้เตรียมงบการตลาดเพื่อสนับสนุนแคมเปญทางการตลาดของตนไว้ต่างหากด้วย มีตั้งแต่หลักสิบล้านไปถึงร้อยล้านบาทเลยทีเดียว
สำหรับการคาดหวังผลกับการลงเงินทั้งการเป็นผู้สนับสนุนการถ่ายทอดสด และแคมเปญการตลาดต่าง ๆ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ตอบว่า ไม่ได้มองด้านธุรกิจมากนัก เนื่องจากต้องการคืนความสุขให้กับคนไทยได้ชมถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกแบบฟรี ๆ มากกว่า
แต่เชื่อว่า ต้องคุ้มค่าแน่นอน เพราะเป็น Sport marketing ระดับ Big ที่คนสนใจมากที่สุดของโลกก็ว่าได้ ซึ่งสิ่งที่ได้แน่ ๆ ก็คือ Branding
ขณะที่ทาง ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ประเมินว่า บอลโลกปี 2018 จะมีการใช้จ่ายทางธุรกิจกว่า 60,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากบอลโลกปี 2014 ที่มีการจับจ่าย 50,000 ล้านบาท ด้วยเหตุผลที่ว่า เป็นรายการกีฬาที่คนสนใจเป็นอันดับ 1 และจะได้รับกระแสตอบรับที่ดี เนื่องจากช่วงเวลาในการถ่ายทอดสดไม่ดึกเหมือนบอลโลกครั้งผ่านมาที่จัดขึ้น ณ ประเทศบราซิล
หากมองในภาพรวมแล้ว เชื่อว่า ‘บอลโลก’ยังคงเป็นแคมเปญทางการตลาดที่มีมนต์ขลังอยู่ ไม่เช่นนั้นเราคงจะไม่เห็นภาพแบรนด์ต่าง ๆ ทยอยส่งแคมเปญที่เกี่ยวกับมหกรรมฟุตบอลครั้งนี้ออกมาอย่างคึกคัก เพื่อชิงกำลังซื้อผู้บริโภค และสร้างสีสันให้กับธุรกิจ
ส่วนการลงทุนจ่ายค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด 1,400 ล้านบาท จะได้หรือเสีย และคุ้มค่าในเชิงธุรกิจหรือไม่นั้น คงต้องรอวัดผลอีกครั้งหลังจบแคมเปญ
Copyright© MarketingOops.com